วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP <p><strong><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /><br />วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์</strong></p> <p> ISSN 2822-065X (Print)</p> <p> ISSN 2822-0676 (Online)</p> <p><strong><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /><br />กำหนดออก</strong> : 6 ฉบับต่อปี</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br /> ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน<br /> ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม<br /> ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม<br /><strong style="font-size: 0.875rem;"><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /></strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong><strong> </strong></p> <p> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <p> </p> <p><strong><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /><br />ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร:</strong></p> <p> 1) บทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p> 2) บทความวิจัย (Research Article)</p> <p> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p> </p> <p><strong><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /><br />การพิจารณาและคัดเลือกบทความ:</strong></p> <p> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Reviewer) จำนวน 3 คน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double – Blind Peer Review)</p> <p><strong><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/journal.ssr@mcu.ac.th/-1-copy-1.png" alt="" width="30" height="40" /><br />เจ้าของวารสาร:</strong></p> <p>สมาคมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสตร์</p> th-TH journal.ajppa@mcu.ac.th (รองศาสตราจารย์ ดร. เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง) suphattharachai.sis@mcu.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภัทรชัย สีสะใบ) Sat, 25 Oct 2025 14:40:39 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การเสริมสร้างความยืดหยุ่นเชิงภูมิภาค : วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5129 <p>บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 ในบริบทของการเสริมสร้างความยืดหยุ่นเชิงภูมิภาคท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การศึกษาดำเนินการผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาปัจจัยท้าทายสำคัญที่อาเซียนเผชิญ ได้แก่ การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางนิเวศการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและความมั่นคงทางไซเบอร์ และพลวัตการเมืองภายในประเทศสมาชิกอาเซียนและความท้าทายด้านธรรมาภิบาล บทความพบว่ากรอบแนวคิดความยืดหยุ่นเชิงภูมิภาคที่เหมาะสมสำหรับอาเซียนประกอบด้วยสามมิติหลักที่เชื่อมโยงกัน คือ ความยืดหยุ่นเชิงโครงสร้าง ความยืดหยุ่นเชิงยุทธศาสตร์ และความยืดหยุ่นเชิงการพัฒนา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดความยืดหยุ่นแบบตะวันตกโดยการบูรณาการเข้ากับหลักการฉันทามติและการไม่แทรกแซงกิจการภายในของอาเซียน โดยการสร้างความยืดหยุ่นเชิงภูมิภาคต้องการการปฏิรูปสถาบันผ่านการนำหลักการ “ASEAN Minus X” มาใช้อย่างกว้างขวาง การรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนผ่านยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่เป็นรูปธรรม การเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือกับ ความท้าทายระดับโลก และการทบทวนหลักการของ “วิถีอาเซียน” ให้สอดคล้องกับความจำเป็นในการตอบสนองต่อปัญหาข้ามชาติ โดยเปลี่ยนจากการไม่แทรกแซงกิจการภายในแบบเดิมไปสู่การปฏิสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ ในท้ายที่สุดการเสริมสร้างความยืดหยุ่นเชิงภูมิภาคตามกรอบแนวคิดที่นำเสนอในบทความนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความสำเร็จของอาเซียนในการสร้างประชาคมที่มั่นคงและยั่งยืนภายในปี ค.ศ. 2045 ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ที่เน้นความยืดหยุ่น นวัตกรรม ความเป็นพลวัต และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง</p> อมร หวังอัครางกูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5129 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ : วิธีการและเครื่องมือที่ทันสมัย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5051 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา “การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ : วิธีการและเครื่องมือที่ทันสมัย” ซึ่งเครื่องมือต่าง ๆ จะช่วยให้เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการวิเคราะห์ สนับสนุนการวางแผนและการจำลองสถานการณ์ เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของนโยบายสาธารณะ โดยการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนานโยบายที่มีประสิทธิภาพ โดยการใช้วิธีการและเครื่องมือที่ทันสมัยจะช่วยให้การวิเคราะห์มีความถูกต้องและเชื่อถือได้มากขึ้น ควรมีความเข้าใจในข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธีการและเครื่องมือ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของนโยบายที่ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งวิธีที่นำมาวิเคราะห์นโยบายอาจใช้ทั้งการวิเคราะห์เชิงปริมาณ คือ การใช้ข้อมูลเชิงสถิติในการประเมินผลกระทบของนโยบาย โดยมักใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์นั้น และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ที่มุ่งเน้นที่การสำรวจและเข้าใจประสบการณ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เนื้อหาก็ได้ โดยการนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการวิเคราะห์นโยบายทั้ง การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การจำลองสถานการณ์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การประเมินผลนโยบายซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ โดยมีวิธีการประเมินที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการและเครื่องมือที่ทันสมัยยังมีข้อดี การวิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยให้การตัดสินใจมีความชัดเจนและมีข้อมูลรองรับและการเครื่องมือทันสมัย เช่น Big Data และ GIS ช่วยให้การวิเคราะห์มีความละเอียดและหลากหลาย และข้อจำกัด การวิเคราะห์เชิงปริมาณอาจไม่สามารถอธิบายความซับซ้อนได้ทั้งหมด ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์อาจมีความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ การใช้เครื่องมือทันสมัยต้องการความรู้และทักษะเฉพาะทาง</p> กนกกร อารีรักษ์; วิทวัส พงศ์กรเกียรติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5051 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 ประชาธิปไตยท้องถิ่นของไทยในอุดมคติ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4860 <p>ประชาธิปไตยท้องถิ่นเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีหลักการที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ความโปร่งใส และความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล การบริหารงานที่ยึดหลักประชาธิปไตยช่วยให้ประชาชนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเอง ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว กลไกของประชาธิปไตยท้องถิ่นที่ส่งเสริมความยั่งยืน ได้แก่ โครงสร้างการบริหารที่เอื้อต่อการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน อปท. สามารถใช้กระบวนการประชาธิปไตย เช่น การประชาคม การลงคะแนนเสียง และการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาประชาธิปไตยท้องถิ่นยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับกระบวนการประชาธิปไตย ปัญหาคอร์รัปชัน และข้อจำกัดด้านงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการปรับปรุงนโยบาย เสริมสร้างกลไกการตรวจสอบ และส่งเสริมการศึกษาด้านพลเมือง เพื่อให้ประชาธิปไตยท้องถิ่นสามารถเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง</p> ปาริชาติ ชุมพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4860 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบริหารภาครัฐในโลกไร้พรมแดน : พลวัตของการปกครอง ในยุคโลกาภิวัตน์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5055 <p>บทความนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการบริหารภาครัฐท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งส่งผลให้ขอบเขตอำนาจของรัฐลดความแน่นแฟ้นลง และจำเป็นต้องพัฒนากลไกการบริหารให้มีความโปร่งใส คล่องตัว และมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมากขึ้น โดยบทความวิเคราะห์พลวัตหลัก ได้แก่ การลดทอนอำนาจรัฐ การเพิ่มขึ้นขององค์กรระหว่างประเทศและเครือข่ายข้ามชาติ การปฏิรูปรัฐสมัยใหม่ และความท้าทายด้านธรรมาภิบาลในโลกไร้พรมแดน พร้อมทั้งเสนอแนวทางการปรับตัวของการบริหารภาครัฐเพื่อรักษาความสามารถในการกำกับดูแลและการตอบสนองต่อพลเมืองในศตวรรษที่ 21</p> หัฏฐกรณ์ แก้วท้าว, ธิติวุฒิ หมั่นมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5055 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการองค์กรภาครัฐยุคใหม่ตามหลักไตรสิกขา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4902 <p>ศักยภาพในการนำหลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการบริหารองค์กรภาครัฐในยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการเชิงระบบระหว่างแนวคิดพุทธธรรมกับหลักการบริหารจัดการร่วมสมัย เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และจริยธรรมของภาครัฐ ท่ามกลางบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และความคาดหวังของประชาชนที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยมีกรอบแนวคิดหลักคือ การบริหารเชิงคุณค่ากับการพัฒนาคุณภาพเชิงโครงสร้าง ผลการวิเคราะห์พบว่า หลักศีลสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการวางระบบธรรมาภิบาลและจริยธรรมในองค์กรเพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส หลักสมาธิส่งเสริมการบริหารตนเองของบุคลากร การมีสติในการปฏิบัติงาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงาน ส่วนหลักปัญญาช่วยผลักดันให้เกิดการคิดเชิงระบบ การตัดสินใจเชิงคุณค่า และการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารภาครัฐ เมื่อพิจารณาในภาพรวม การนำไตรสิกขามาเป็นฐานคิดของการบริหารองค์กรภาครัฐสามารถช่วยลดช่องว่างระหว่างประสิทธิภาพเชิงกลไกกับคุณธรรมเชิงนามธรรม และเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายคือ รัฐควรส่งเสริมให้เกิด “องค์กรสำนึกธรรม” โดยการออกแบบระบบฝึกอบรมเชิงบูรณาการที่ผสานหลักไตรสิกขาเข้ากับกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของรัฐ ทั้งนี้ควรมีการวิจัยเชิงประจักษ์เพิ่มเติมเพื่อประเมินผลลัพธ์ของการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในระบบราชการอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่การออกแบบนโยบายการบริหารยุคใหม่ที่ผสานความเป็นมนุษย์กับประสิทธิภาพได้อย่างสมดุล</p> วนิดา ตรงดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4902 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของกำแพงภาษีต่อการบริหารรัฐและเศรษฐกิจโลก https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5090 <p>บทความนี้วิเคราะห์ผลกระทบของกำแพงภาษี ต่อการบริหารรัฐและเศรษฐกิจโลกในบริบทของโลกาภิวัตน์ การศึกษาครอบคลุมทั้งมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารนโยบายสาธารณะ พบว่ากำแพงภาษีส่งผลทั้งทางบวกและทางลบต่อรัฐและเศรษฐกิจ โดยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้า การจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางที่รัฐควรดำเนินการเพื่อปรับตัวต่อบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา</p> ธวัชชัย สมอเนื้อ, ธิติวุฒิ หมั่นมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5090 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำทางการเมือง ของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชัยภูมิ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4999 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาภาวะผู้นำทางการเมือง 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำทางการเมือง และ 3. เสนอแนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำทางการเมืองของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชัยภูมิ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 ราย และสนทนากลุ่มจำนวน 9 ราย ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งมีสิทธิเลือกตั้งในองค์การบริหารส่วนตำบล 3 แห่ง (ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก) จากประชากรทั้งหมด 21,161 คน โดยคำนวณกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของยามาเน่ ได้จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำทางการเมืองประกอบด้วยหลายมิติ ได้แก่ ความมุ่งมั่นเสียสละ การมีส่วนร่วมกับประชาชน ความชาญฉลาดทางการเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ความรู้ด้านการบริหารและนโยบาย ความกล้าหาญในการตัดสินใจ และการบริหารความขัดแย้ง 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำ ได้แก่ สถาบันครอบครัว กลุ่มเพื่อน และสื่อมวลชน ซึ่งสามารถพยากรณ์ภาวะผู้นำได้ร้อยละ 12.9 และหลักพุทธธรรม โดยเฉพาะนิสสยสัมปันโน (การมีมนุษยสัมพันธ์) มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำร้อยละ 22.0 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมควรมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี การรับฟังอย่างเข้าใจ การสื่อสารอย่างโปร่งใส และการสร้างความไว้วางใจ เพื่อส่งเสริมผู้นำที่มีจริยธรรมและได้รับการยอมรับอย่างยั่งยืน</p> พระสิทธิรักษ์ จนฺทสาโร, สุมาลี บุญเรือง, อภิญญา ฉัตรช่อฟ้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4999 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5104 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และ 3. นำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูปหรือคน เพื่อยืนยันองค์ความรู้ และการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 830,182 คน ใช้สูตรการคำนวณของทาโร่ ยามาเน่ ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีความตื่นตัวทางการเมือง โดยได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว สถาบันการศึกษา และองค์กรศาสนา ให้เห็นความสำคัญของสิทธิเลือกตั้ง การสนทนาอย่างเสรี และการมีส่วนร่วมที่เท่าเทียมตามหลักพุทธธรรม ซึ่งช่วยลดระบบอุปถัมภ์และส่งเสริมประชาธิปไตยท้องถิ่นอย่างยั่งยืน 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ การกล่อมเกลาทางการเมือง โดยกลุ่มชุมชนและเพื่อนมีอิทธิพลสูงสุด คิดเป็น 69.50 รองลงมาคือ ครอบครัว สื่อ และศาสนา ส่วนหลักอปริหานิยธรรม 7 ที่ส่งผลมากที่สุด ได้แก่ การรับฟังผู้ใหญ่ การประชุมร่วมกัน และการสนับสนุนคนดี คิดเป็น 66.4 สะท้อนบทบาทของเครือข่ายสังคมและหลักธรรมในการขับเคลื่อนการเมือง 3. การบูรณาการหลักอปริหานิยธรรม 7 สร้างความไว้วางใจ ความสามัคคี ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองที่ปราศจากอุปถัมภ์</p> พระครูพิศาลพัฒนานุกิจ (สุจินต์ ทีปธมฺโม), เติมศักดิ์ ทองอินทร์, วัชรินทร์ ชาญศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5104 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความเข้มแข็งในการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรเพื่อยกระดับ การท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5137 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความเข้มแข็งและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเข้มแข็งในการบริหารจัดการของกลุ่มเกษตรกร 2. พัฒนาและประเมินผลการพัฒนาความเข้มแข็งในการบริหารจัดการของกลุ่มเกษตรกรในการจัดการท่องเที่ยวเกษตรเชิงสร้างสรรค์ วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนา (Research for Development) หน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) เป็นกลุ่มเกษตรกร โดยประชากรเป็นกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการวิเคราะห์อำนาจในการทดสอบ ได้จำนวน 54 กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาความเข้มแข็งได้ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และประเมินผลการพัฒนาโดยการทบทวนหลังปฏิบัติงาน และสรุปผลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการกลุ่มระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.77, S.D. 0.76) โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเข้มแข็ง ได้แก่ เจตคติต่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของประธานกลุ่ม การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของกลุ่ม การมีเครือข่ายกับองค์กรภายนอกชุมชน และจำนวนสมาชิกกลุ่ม โดยปัจจัยทั้งหมดร่วมกันอธิบายความผันแปรของความเข้มแข็งในการบริหารจัดการของกลุ่ม ร้อยละ 78.30 (R<sup>2</sup>= 0.783, F= 17.691, P&lt;0.01) 2. ผลการพัฒนาความเข้มแข็งในการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตั้งแต่การร่วมคิด วางแผน และลงมือปฏิบัติร่วมกัน ทั้งในการบริหารจัดการกลุ่ม การกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร การทดสอบความเหมาะสมของเส้นทาง และการฝึกปฏิบัติกลุ่มเกษตรกรในการรับนักท่องเที่ยว ซึ่งภายหลังการพัฒนาพบว่าผู้ร่วมทดสอบเส้นทางมีความพึงพอใจในโปรแกรมและเส้นทางการท่องเที่ยว กิจกรรม และการบริหารจัดการของกลุ่มเกษตรในการให้บริการนักท่องเที่ยว </p> จริยา โกเมนต์, เฉลิมชัย ปัญญาดี, ปานแพร เชาวน์ประยูร อุดมรักษาทรัพย์, ทัดพงศ์ อวิโรธนานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5137 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5162 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 3. นำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง 291 คน สถิติที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคุณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 รูปหรือคน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลแบบอรรถาธิบายและพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.59, S.D. = 0.83) 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี คือ การกล่อมเกลาทางการเมือง และหลักภาวนา 4 และทั้งสองปัจจัยมีอิทธิพลต่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยร้อยละ 72.5 และอิทธิพลจากปัจจัยอื่นร้อยละ 27.5 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย พบว่า การส่งเสริมการสร้างพลเมืองที่ดีในสังคมประชาธิปไตย สถาบันต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญ นอกจากนั้น หลักภาวนา 4 กายภาวนา ส่งเสริมวินัยผ่านกิจกรรมจิตอาสา เพื่อปลูกฝังความรับผิดชอบและการเคารพกติกาสังคม สีลภาวนา พัฒนาพฤติกรรมผ่านสภานักเรียน เสวนาสังคม เสริมจริยธรรมและการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง จิตภาวนา ฝึกสติ สมาธิเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สร้างสรรค์ และปัญญาภาวนา ใช้หลักพุทธธรรม พัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล</p> พระครูวิโรจน์กาญจนเขต (นัทกฤต ปทุมมารัชเชปัณณ์), เติมศักดิ์ ทองอินทร์, สุรพล สุยะพรหม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5162 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารเชิงอัตลักษณ์เพื่อการตลาดการเมือง : สีแทนพรรคการเมืองไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5043 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และวิเคราะห์การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ด้วยการใช้สีแทนพรรคการเมืองไทยที่มีผลต่อการตลาดการเมือง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้กระบวนการวิจัยเอกสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดเลือกเอกสารระดับทุติยภูมิ เลือกวิธีการสุ่มอย่างง่ายจาก 5 พรรคการเมืองที่มีการใช้สีเพื่อสื่อสารเชิงอัตลักษณ์ ประกอบด้วย 1. พรรคเพื่อไทย 2. พรรคภูมิใจไทย 3. พรรคประชาชน 4. พรรคประชาธิปัตย์ และ 5. พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีการคัดเลือกเอกสารที่ผ่านการพิจารณาจากความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเป็นตัวแทนและความหมายที่ชัดเจน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สีทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในด้านการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ที่มีประสิทธิภาพในทางการเมือง โดยพรรคการเมืองไทยใช้สีในตราสัญลักษณ์สื่อสารผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์และได้รับการตอกย้ำจากสื่อมวลชนในการสื่อสารอัตลักษณ์ ถ่ายทอดอุดมการณ์และเสริมสร้างการจดจำพรรคในสายตาประชาชน สีจึงไม่ใช่เพียงองค์ประกอบศิลป์แต่เป็นภาษาทางการเมืองที่ส่งผลต่อการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการเลือกตั้งในยุคการตลาดการเมืองแบบมีส่วนร่วม การบูรณาการระหว่างสีในฐานะสัญลักษณ์ของพรรคการเมืองกับแพลตฟอร์มออนไลน์ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ด้านการสื่อสารการตลาดการเมืองร่วมสมัย พรรคการเมืองสามารถหยิบยกมากำหนดเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงภาพลักษณ์และจูงใจการสนับสนุนจากประชาชนได้</p> วรพงษ์ ปลอดมูสิก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5043 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพแกนนำนักศึกษาด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม : ทีมชำโสมโอมเพี้ยง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5224 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาศักยภาพแกนนำนักศึกษาด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม ทีมชำโสมโอมเพี้ยง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2. ประยุกต์ใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมและสร้างนวัตกรรมชุมชนให้กับชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านชำโสม ตำบลแสลง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี และ 3. นำเสนอต้นแบบกระบวนการพัฒนาชุมชนด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีขั้นตอนในการศึกษาด้วยการพัฒนาศักยภาพแกนนำนักศึกษาด้วยกระบวนการวิศวกรสังคมการประยุกต์ใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมและสร้างนวัตกรรมชุมชนให้กับชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร บันทึกขั้นตอนการดำเนินการจากการเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมกับสรุปและรวบรวมความเหมาะสมของข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1. การพัฒนาศักยภาพแกนนำนักศึกษาด้วยกระบวนการวิศวกรสังคมทีมชำโสมโอมเพี้ยง หลังจากแกนนำนักศึกษาได้เข้าร่วมพัฒนาทักษะ และฝึกปฏิบัติการใช้เครื่องมือวิศวกรสังคม การนำเครื่องมือวิศวกรสังคมไปประยุกต์ใช้ระหว่างลงพื้นที่ชุมชน ได้แก่ เครื่องมือฟ้าประทาน คือ Fact and Feeling, เครื่องมือนาฬิกาชีวิต, เครื่องมือ Timeline พัฒนาการ,เครื่องมือ Timeline กระบวนการและเครื่องมือ M.I.C ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นกระบวนการต่อยอดจากทักษะของแกนนำที่ได้รับการพัฒนาและนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในพื้นที่ 2. การประยุกต์ใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมและสร้างนวัตกรรมชุมชนให้กับชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านชำโสม ตำบลแสลง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี พบว่า เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรชุมชนเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน “ยาหม่องสมุนไพร” ที่มาพร้อมกระบวนการผลิต การร่วมกันวางแผนการตลาด การสอนและการเรียนรู้ทักษะในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และธุรกิจ 3. ต้นแบบกระบวนการพัฒนาชุมชนด้วยกระบวนการวิศวกรสังคม เป็นไปภายใต้การดำเนินงานของทีมสร้างความร่วมมือภายในชุมชนการรวมตัวกันเพื่อเรียนรู้และผลิตยาหม่องเกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ เกิดการแบ่งปันความรู้ ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้รับการสืบสาน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเกิดการสานต่อและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีจากคนรุ่นใหม่</p> พัชรินทร์ เจนจบธุรกิจ, ปรอยฝน ทวิชัย, วุฒินันท์ สุพร, พีรพัฒน์ พวงจิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5224 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 มาเลเซียกับความย้อนแย้งเชิงนโยบาย : กรณีคาสิโนในรัฐที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4992 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความย้อนแย้งเชิงนโยบายระหว่างบทบัญญัติของศาสนาอิสลามกับการดำเนินนโยบายการพนันอย่างถูกกฎหมายของรัฐบาลมาเลเซีย 2. เพื่อวิเคราะห์แนวทางการประนีประนอมของรัฐมาเลเซียในการจัดการอุตสาหกรรมคาสิโนในบริบทที่อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และ 3. เพื่อประเมินผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และจริยธรรม พร้อมเสนอข้อค้นพบที่สามารถประยุกต์ใช้ในบริบทไทยและอาเซียน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แนวคิด State Pragmatism, Confessional Muslim-Based State, Policy Contradiction Theory และแนวคิดการอยู่ร่วมกันของศาสนาและเศรษฐกิจ เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะกรณีศึกษา Genting Highlands ศึกษาเอกสารทางด้านรัฐศาสตร์ กฎหมาย และอิสลามศึกษา โดยการวิเคราะห์เอกสาร การสังเคราะห์งานวิชาการ และการทบทวนรายงานของภาครัฐและภาคประชาสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. รัฐมาเลเซียดำเนินนโยบายที่ขัดแย้งกันเองโดยยอมให้มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมายแม้อิสลามห้ามการพนัน ซึ่งสะท้อนความย้อนแย้งเชิงนโยบายภายใต้โครงสร้างรัฐที่รับรองศาสนา 2. รัฐใช้กลไกกฎหมายคู่ขนานและพื้นที่เฉพาะเพื่อประนีประนอมศาสนากับเศรษฐกิจ เช่น ห้ามมุสลิมเข้าคาสิโน แต่เปิดให้ผู้ไม่ใช่มุสลิมสามารถเข้าได้ 3. แม้นโยบายนี้จะสร้างรายได้จำนวนมากแก่รัฐแต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐมาเลเซียในโลกมุสลิม และถูกวิพากษ์ในเชิงศีลธรรมจากกลุ่มศาสนาและประชาสังคม องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐมุสลิมในโลกสมัยใหม่มีแนวโน้มใช้แนวทางประนีประนอมระหว่างศรัทธากับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดพื้นที่เฉพาะเพื่อควบคุมสิ่งต้องห้าม ซึ่งบทเรียนนี้มีคุณค่าสำหรับการออกแบบนโยบายในรัฐพหุวัฒนธรรม เช่น ไทยหรือประเทศอื่น ที่ต้องเผชิญกับความหลากหลายของศรัทธาและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน</p> ชัยวัฒน์ มีสันฐาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/4992 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนา เด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5088 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และ 3. เสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ คณะกรรมการบริหารศูนย์ฯ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้ดูแลเด็ก ครูผู้ช่วยดูแลเด็ก ผู้ปกครองเด็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดอุดรธานี จากการสัมภาษณ์ 25 คน และแบบสอบถาม 300 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างและเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในเกณฑ์มากถึงมากที่สุด โดยมากที่สุด คือ ด้านการจัดการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าสถานภาพตำแหน่งส่งผลต่อสภาพการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยมีความสัมพันธ์ในทางลบ และ 3. การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปัจจัยด้านการจัดการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยการจัดกิจกรรมเสริมวิชาการและปลูกฝังคุณธรรม ควรพิจารณาจากวัยและประสบการณ์ของเด็ก เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาครบทุกด้าน</p> วัชรา แสงธิมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5088 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปรับตัวของผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยว ในตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5050 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวของผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และ 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวของผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ทราบความน่าจะเป็น และกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 228 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้ให้บริการส่วนใหญ่มีระดับการปรับตัวอยู่ในระดับมากที่สุด โดยปัจจัยด้านสังคม สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการ และเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการปรับตัวในระดับสูงที่สุด ขณะที่ปัจจัยด้านเทคโนโลยีมีอิทธิพลในระดับมาก นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อาชีพ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส และประเภทธุรกิจ มีผลต่อรูปแบบการปรับตัวทั้งแบบดั้งเดิมและแบบเชิงอนุรักษ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำกับการปรับตัวแบบดั้งเดิมและแบบเชิงอนุรักษ์ของผู้ให้บริการ ส่วนปัจจัยด้านเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับต่ำ ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดน้ำดำเนินสะดวกให้มีความยืดหยุ่นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างยั่งยืน</p> กนิษฐา นิลประเสริฐ, เอกลักษณ์ ไชยภูมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/view/5050 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700