https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/issue/feed วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 2025-08-04T13:30:57+07:00 Assistant Professor Prajob Khawnman (Ph.D.) ejfe_edukpru@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p><strong> </strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรเป็นวารสารวิชาการที่ให้บริการเผยแพร่ความรู้แก่สังคม โดยมีเป้าหมายดังนี้ 1) เพื่อเผยแพร่ผลงานการวิจัยและองค์ความรู้ทางการศึกษาของคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา เจ้าหน้าที่ นักวิชาการของมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไป 2) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนในสายครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ 3) เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการด้านการเรียนการสอนในทุกระดับ 4) เพื่อสร้างความร่วมมือด้านวิชาการของบุคลากรทางการศึกษาทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน</p> <p> </p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong></p> <p> ขอบเขตเนื้อหาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร ได้แก่ ด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ประกอบด้วย (1) จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว (2) การประถมศึกษา (3) การศึกษาปฐมวัย (4) การสอนคณิตศาสตร์/คณิตศาสตร์ศึกษา (5) การสอนสังคมศึกษา (6) การสอนภาษาอังกฤษ (7) การสอนภาษาไทย (8) พลศึกษา (9) ดนตรีศึกษา (10) การวิจัยทางการศึกษา (11) การสอนภาษาจีน (12) คอมพิวเตอร์ศึกษา (13) หลักสูตรและการสอน (14) บริหารการศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอื่นๆ</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> </strong></p> <p><strong>รูปแบบภาษาที่รับตีพิมพ์ </strong><strong>: </strong>ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสารประจำปี</strong></p> <p> ทางวารสารกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ราย 6 เดือน) คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>กระบวนการตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>กระบวนการตีพิมพ์ผลงานในวารสารตั้งแต่การคัดเลือกบทความซึ่งจะต้องได้รับการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการวารสารเป็นเบื้องต้น การคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาเพื่อการประเมินบทความอย่างน้อย 3 ท่าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน และไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ประเมินและผู้นิพนธ์ (Double-blind Peer Review) อีกทั้ง บทความที่ส่งเข้ามาเผยแพร่ในวารสารจะต้องเป็นบทความต้นฉบับ (Original Paper) ที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในวารสารอื่นๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของทางวารสารอย่างเคร่งครัด และอ้างอิงรูปแบบตามที่วารสารกำหนดเท่านั้น อีกทั้งจะต้องต้องปรับแก้ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างครบถ้วนถูกต้อง</p> <p> หากบทความไม่เป็นไปตามที่วารสารกำหนดและ/หรือไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทางวารสารขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับตีพิมพ์บทความไม่ว่ากรณีใดๆ นอกจากนี้ ทางวารสารจะออกหนังสือรับรองการตีพิมพ์ก็ต่อเมื่อบทความได้รับการยอมรับ (Accept Paper) จากกองบรรณาธิการภายหลังที่ผู้นิพนธ์ได้ปรับแก้ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและผ่านการตรวจสอบของวารสารแล้วเท่านั้น</p> <p> ข้อมูล การอ้างอิง รูปภาพ ความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ที่จะต้องตรวจสอบเป็นเบื้องต้นและจะต้องไม่คัดลอกผลงานจากแหล่งอื่นทั้งที่เป็นข้อมูลออนไลน์และในรูปแบบเอกสารเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ (ตรวจสอบโดย Copy Catch) หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น การฟ้องร้องทางลิขสิทธิ์ เป็นต้น ผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวและไม่ถือเป็นความบกพร่องของกองบรรณาธิการวารสาร</p> <p> </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมสำหรับการตีพิมพ์</strong></p> <p> ปัจจุบัน ทางวารสารยังไม่ได้กำหนดค่าตีพิมพ์ (ฟรี)</p> <p> </p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong></p> <p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 69 หมู่ 1 ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 62000 โทรศัพท์ 055-706-555</p> https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4358 การละเล่นพื้นบ้านไทยในยุคสารสนเทศ : จากภูมิปัญญาสู่กรอบนวัตกรรมเพื่อสุขภาวะและความยั่งยืน 2025-05-06T13:00:19+07:00 เตชภณ ทองเติม spsc_network@hotmail.com <p>การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลได้ส่งผลให้การละเล่นพื้นบ้านไทยซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันค่อยๆ ลดบทบาทลง และถูกแทนที่ด้วยรูปแบบนันทนาการเชิงดิจิทัลที่เปลี่ยนพฤติกรรมการเล่น และการบริโภคสื่อของเด็กและเยาวชนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงกระทบต่อสมรรถภาพทางกายและสุขภาวะจิตใจ แต่ยังนำไปสู่การสูญเสียการเรียนรู้ผ่านร่างกายและทุนทางวัฒนธรรมที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนามนุษย์เชิงองค์รวม ดังนั้นบทความนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์พลวัตของพฤติกรรมนันทนาการของเด็กและเยาวชนไทยในยุคสารสนเทศและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการละเล่นพื้นบ้าน 2) สังเคราะห์และนำเสนอกรอบแนวคิดเชิงบูรณาการที่ผสานวิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมนันทนาการจากฐานการละเล่นพื้นบ้าน และ 3) เสนอแนวทางเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนเชิงระบบเพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวมและธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเยาวชนไทย โดยใช้การสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัยและกรอบแนวคิดร่วมสมัย ผลการวิเคราะห์ยืนยันว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการเล่นไปสู่สื่อดิจิทัลส่งผลลบต่อสุขภาวะองค์รวม และทำให้การละเล่นพื้นบ้านเสี่ยงต่อการสูญหาย ขณะเดียวกันการสังเคราะห์กรอบแนวคิดเชิงนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาการละเล่นพื้นบ้าน (Thai Folk Games Preservation Model in the Digital Era: TFG-PM) ได้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการบูรณาการแกนความรู้ด้านนันทนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬา และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ทำให้การละเล่นพื้นบ้านกลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างร่วมสมัยได้ นอกจากนี้ บทความยังได้นำเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบายในระดับชาติและท้องถิ่น การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลและพื้นที่ต้นแบบ การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน การสร้างความร่วมมือหลายภาคส่วน การเสริมศักยภาพบุคลากรและงานวิจัย ไปจนถึงการเชื่อมโยงสู่ความร่วมมือระดับนานาชาติ ซึ่งการบูรณาการดังกล่าวไม่เพียงช่วยฟื้นฟูการละเล่นพื้นบ้านให้กลับมามีบทบาทร่วมสมัย แต่ยังสร้างรากฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะองค์รวมและธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเยาวชนไทยให้คงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21</p> 2025-10-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/5222 รูปแบบการนิเทศการศึกษาเพื่อส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนตามกรอบ PISA 2025-06-26T22:14:34+07:00 ปรางวไล ชูหนู a@gmail.com สุนทรี วรรณไพเราะ suntaree@tsu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอรูปแบบการนิเทศการศึกษาที่ส่งเสริมสมรรถนะการเรียนรู้ของผู้เรียนตามกรอบการประเมิน PISA โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าการนิเทศควรเป็นกระบวนการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ มากกว่าการควบคุมหรือตรวจสอบเพียงอย่างเดียวจากการวิเคราะห์ผลการประเมิน PISA พบว่านักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาและความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ผู้เขียนจึงได้พัฒนารูปแบบการนิเทศ “2P IF 2M” ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ Preparing, Planning, Implementing, Feedbacking and Supporting, Monitoring and Evaluating และ Modifying โดยเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างศึกษานิเทศก์กับครู เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในแนวทาง PISA สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะด้านการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาผลการใช้รูปแบบนี้ พบว่า ครูมีความเข้าใจและทักษะเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์และสมรรถนะดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งยังส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมการนิเทศเชิงพัฒนาในสถานศึกษา ซึ่งเอื้อต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4937 การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2025-04-21T12:30:34+07:00 พิยดา นนทา st641102037211@pcru.ac.th เตือนใจ ผางคำ tuenjai.pha@pcru.ac.th สรวงพร กุศลส่ง Sroungporn.kus@pcru.ac.th <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน และทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2.เพื่อสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 3.เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิด โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 4.เพื่อประเมินการใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน และส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เด็กปฐมวัยอายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านช้างตะลูด จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยผนการจัดกิจกรรม 20 แผน คู่มือการจัดกิจกรรม 20 กิจกรรม แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2 ชุด และแบบประเมินรูปแบบการจัดกิจกรรม 1 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติร้อยละ การวิจัยครั้งนี้ ใช้แบบแผนการวิจัยแบบมีกลุ่มเฉพาะ 1 กลุ่ม One–group Pretest-Posttest Design ผลการวิจัยพบว่า 1.ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานทำให้ผู้วิจัยได้แนวทางในการทำวิจัย โดยผู้วิจัยมีขั้นตอน BAAS : Model เพื่อส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ ด้านการสังเกต และการจำแนก โดยใช้เกมการศึกษาตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 2.ผลการสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม (BAAS : Model) ไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นบริหารสมอง (B: Brain Gym) ขั้นที่ 2 ขั้นให้ความรู้ใหม่ (A: Acquisition) ขั้นที่ 3 ขั้นจัดประสบการณ์ (A: Accessing to Information) ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปความรู้ (S: Summary) โดยตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน มีค่าเฉลี่ย 4.57 (S.D.= 1.13) ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ได้มาอยู่ในเกณฑ์มากที่สุด 3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใใช้สมองเป็นฐาน พบว่าโดยภาพรวมก่อนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 12.08 และหลังการจัดเกมการศึกษามีค่าเฉลี่ย 18.5 ซึ่งส่งให้มีคะแนนพัฒนาสูงขึ้นโดยมี ค่าร้อยละ 32.08 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4.ผลการประเมินการใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย พบว่า ด้านปัจจัยนำเข้า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านกระบวนการ โดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก และสุดท้ายด้านผลผลิต โดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก </p> 2025-08-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4938 การพัฒนารูปแบบการจัดชุดกิจกรรมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2025-04-21T12:37:27+07:00 นันธิดา มะแสน st641102037212@pcru.ac.th สรวงพร กุศลส่ง Sroungporn.kus@pcru.ac.th เตือนใจ ผางคำ tuenjai.pha@pcru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานการจัดชุดกิจกรรมตามแนวการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานและทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2. เพื่อสร้างรูปแบบการจัดชุดกิจกรรมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 3. เพื่อทดลองใช้ชุดกิจกรรมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 4. เพื่อประเมินผลรูปแบบการจัดชุดกิจกรรมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชาย– หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 อายุ 5-6 ปี จำนวน 21 คน โรงเรียนบ้านช้างตะลูด เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดกิจกรรม 20 แผน คู่มือการจัดชุดกิจกรรม 4 ชุดกิจกรรม แบบทดสอบวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ 2 ชุด และแบบประเมินการใช้รูปแบบการจัดชุดกิจกรรม 1 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติร้อยละอธิบายการเปลี่ยนแปลง การศึกษาค้นคว้าใช้แบบแผนการวิจัยแบบมีกลุ่มเฉพาะ 1 กลุ่ม One - group Pretest - Posttest Design ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานทำให้ผู้วิจัยได้แนวทางในการทำวิจัย โดยผู้วิจัยมีขั้นตอน WPAPC : Model ) เพื่อส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการนับ และการจัดลำดับ โดยใช้ชุดกิจกรรม BBL 2. ผลการสร้างรูปแบบการจัดชุดกิจกรรม BBL โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม WPAPC : Model ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นอุ่นเครื่อง ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมสมอง ขั้นที่ 3 ขั้นให้ความรู้ใหม่ ขั้นที่ 4 ขั้นฝึก ขั้นที่ 5 ขั้นสรุป โดยตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน อยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุด (<em> <strong><img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></strong></em>= 4.67, S.D. = 0.52) 3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดชุดกิจกรรม BBL พบว่าโดยภาพรวมก่อนการจัดชุดกิจกรรมมีค่า P = 61.67 ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 12.33) หลังการจัดชุกิจกรรมมีค่า P = 91.90 (<em> <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> </em>= 18.38) ส่งผลให้มีคะแนนพัฒนาสูงขึ้นโดยมีค่า P = 30.23 ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 6.05) ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4. ผลการประเมินการใช้รูปแบบการจัดชุดกิจกรรม BBL พบว่า ด้านปัจจัยนำเข้า โดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (<strong> <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> </strong>= 4.2 , S.D. = 0.44) ด้านกระบวนการ โดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (<strong> <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></strong>= 4.2 ,S.D. = 0.39) และสุดท้ายด้านผลผลิต โดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (<strong> <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> </strong>= 4.1 , S.D. = 0.38) ซึ่งผลการประเมินวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์สูงขึ้นที่ร้อยละ 30.23 แสดงว่าการจัดชุดกิจกรรม BBL ส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> 2025-08-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4201 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการคูณแบบเนเปียร์โบนส์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-05-13T19:06:01+07:00 ฟารดา สารจันทร์ farada.sa@ksu.ac.th วรรณธิดา ยลวิลาศ a@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการคูณแบบเนเปียร์โบนส์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาเรื่อง การคูณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ หลังการจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการคูณแบบเนเปียร์โบนส์ เพิ่มขึ้น โดยในวงจรการปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 66 วงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 78 วงจรปฏิบัติการที่ 3 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 86.25 การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการคูณแบบเนเปียร์โบนส์ สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณของนักเรียนให้ดีขึ้น</p> 2025-09-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร