https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/issue/feed วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 2025-05-13T15:44:40+07:00 Assistant Professor Prajob Khawnman (Ph.D.) ejfe_edukpru@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p><strong> </strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรเป็นวารสารวิชาการที่ให้บริการเผยแพร่ความรู้แก่สังคม โดยมีเป้าหมายดังนี้ 1) เพื่อเผยแพร่ผลงานการวิจัยและองค์ความรู้ทางการศึกษาของคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา เจ้าหน้าที่ นักวิชาการของมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไป 2) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนในสายครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ 3) เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการด้านการเรียนการสอนในทุกระดับ 4) เพื่อสร้างความร่วมมือด้านวิชาการของบุคลากรทางการศึกษาทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน</p> <p> </p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong></p> <p> ขอบเขตเนื้อหาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร ได้แก่ ด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ประกอบด้วย (1) จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว (2) การประถมศึกษา (3) การศึกษาปฐมวัย (4) การสอนคณิตศาสตร์/คณิตศาสตร์ศึกษา (5) การสอนสังคมศึกษา (6) การสอนภาษาอังกฤษ (7) การสอนภาษาไทย (8) พลศึกษา (9) ดนตรีศึกษา (10) การวิจัยทางการศึกษา (11) การสอนภาษาจีน (12) คอมพิวเตอร์ศึกษา (13) หลักสูตรและการสอน (14) บริหารการศึกษา และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอื่นๆ</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> </strong></p> <p><strong>รูปแบบภาษาที่รับตีพิมพ์ </strong><strong>: </strong>ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสารประจำปี</strong></p> <p> ทางวารสารกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ราย 6 เดือน) คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>กระบวนการตีพิมพ์</strong></p> <p><strong> </strong>กระบวนการตีพิมพ์ผลงานในวารสารตั้งแต่การคัดเลือกบทความซึ่งจะต้องได้รับการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการวารสารเป็นเบื้องต้น การคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาเพื่อการประเมินบทความอย่างน้อย 3 ท่าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน และไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ประเมินและผู้นิพนธ์ (Double-blind Peer Review) อีกทั้ง บทความที่ส่งเข้ามาเผยแพร่ในวารสารจะต้องเป็นบทความต้นฉบับ (Original Paper) ที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในวารสารอื่นๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของทางวารสารอย่างเคร่งครัด และอ้างอิงรูปแบบตามที่วารสารกำหนดเท่านั้น อีกทั้งจะต้องต้องปรับแก้ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างครบถ้วนถูกต้อง</p> <p> หากบทความไม่เป็นไปตามที่วารสารกำหนดและ/หรือไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทางวารสารขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับตีพิมพ์บทความไม่ว่ากรณีใดๆ นอกจากนี้ ทางวารสารจะออกหนังสือรับรองการตีพิมพ์ก็ต่อเมื่อบทความได้รับการยอมรับ (Accept Paper) จากกองบรรณาธิการภายหลังที่ผู้นิพนธ์ได้ปรับแก้ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและผ่านการตรวจสอบของวารสารแล้วเท่านั้น</p> <p> ข้อมูล การอ้างอิง รูปภาพ ความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ที่จะต้องตรวจสอบเป็นเบื้องต้นและจะต้องไม่คัดลอกผลงานจากแหล่งอื่นทั้งที่เป็นข้อมูลออนไลน์และในรูปแบบเอกสารเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ (ตรวจสอบโดย Copy Catch) หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น การฟ้องร้องทางลิขสิทธิ์ เป็นต้น ผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวและไม่ถือเป็นความบกพร่องของกองบรรณาธิการวารสาร</p> <p> </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมสำหรับการตีพิมพ์</strong></p> <p> ปัจจุบัน ทางวารสารยังไม่ได้กำหนดค่าตีพิมพ์ (ฟรี)</p> <p> </p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong></p> <p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 69 หมู่ 1 ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 62000 โทรศัพท์ 055-706-555</p> https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4115 ผลการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-10-25T12:25:28+07:00 ชนนิกานต์ ปักคะมา a@gmail.com วิกานดา ชัยรัตน์ wikanda.kan@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพัฒนาการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนทั้งสิ้น 39 คน เป็นกลุ่มทดลอง ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) ชุดกิจกรรมแนะแนว โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อพัฒนาการคิดแก้ปัญหา 7 กิจกรรม 2) เครื่องมือแบบวัดการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test ผลการวิจัย พบว่า หลังจากใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักเรียนมีคะแนนการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-04-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4091 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง ระบบสุริยะ ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม 2025-03-15T10:59:17+07:00 ภัทริน สมภักดี a@gmail.com วรรณพร เลี่ยมสกุล a@gmail.com ปราณี เลิศแก้ว pranee_l@kpru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านลำมะโกรก ก่อนเรียนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม 2) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านลำมะโกรก หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านลำมะโกรก ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านลำมะโกรก อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 29 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสุริยะ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (One sample t - test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม อยู่ในระดับมาก</p> <p> </p> 2025-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/3966 การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2025-03-15T10:58:28+07:00 ลักศณาพร แซ่หว้า a@gmail.com มนตรี หลินภู montreegate@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาวอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีชั้นที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้แบบฝึกทักษะและ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 21 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะด้านการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทย จำนวน 15 แผน ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.923 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบทีที่ไม่อิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว จำนวน 15 แผน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.03 / 80.48 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว ภายหลังใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำขาว มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานในภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4983 การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับเทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2025-04-29T15:13:03+07:00 ธนะวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ steamtui@outlook.co.th เกษสุดา บูรณพันศักดิ์ a@gmail.com นฤมล ศักดิ์ปกรณ์กานต์ a@gmail.com เขมิกา อารมณ์ อารมณ์ a@gmail.com อภิญญา ศักดิ์ผดุงกิจ a@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ หลังการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับเทคนิค KWDL กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 รวมนักเรียนทั้งสิ้น 27 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น จำนวน 9 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย เลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานค่าเฉลี่ยของ 1 ประชากร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 85.19 ของนักเรียนทั้งหมดมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการทำความเข้าใจปัญหา ด้านวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนแก้ปัญหา ด้านดำเนินการแก้ปัญหา และด้านการสรุปคำตอบ 2) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ หลังการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับเทคนิค KWDL สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ร้อยละโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/5076 รูปแบบการพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพ ด้านการจัดการจัดการเรียนรู้ สู่การรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2025-05-13T15:44:40+07:00 อนุ เจริญวงศ์ระยับ anujarer@gmail.com จิราวรรณ เทพจินดา a@gmail.com ฤกษ์ฤดี นาควิจิตร a@gmail.com ญาณิศา บุญจิตร์ a@gmail.com <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพ ด้านการจัดการเรียนรู้สู่การรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อาชีพ โดยทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรพัฒนาครูสู่มืออาชีพของ 38 ราชภัฏ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบฯ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา 2) ศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพ กลุ่มเป้าหมายคือครูกลุ่มทดลองจำนวน 13 คน จาก 4 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการวิจัย และกลุ่มเปรียบเทียบคือครูที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาครูสื่อครูมืออาชีพของ 38 ราชภัฏจำนวน 25 คน เครื่องมือการวิจัยได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบ ฯ แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.884, 0.828 และ 0.789 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ One-way MANOVA ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบฯ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการพัฒนาครู ระบบสนับสนุน เงื่อนไขความสำเร็จ และการวัดและประเมินผล 2) ประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพทั้งภาพรวมและรายองค์ประกอบ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบไม่แตกต่างกัน</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/4218 แนวทางการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) กับการจัดการเรียนรู้ ในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษากำแพงเพชร 2025-05-06T12:15:03+07:00 โชคชัย จาดเมือง jadmuangc@gmail.com สกุล อยู่สุ่ม Sakuny67@nu.ac.th โสภณ ดวงปัญญาสว่าง gameviolinman@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) กับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 306 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ซึ่งมีค่า IOC เท่ากับ 0.92 และค่าความเชื่อมั่น 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ SPSS 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน โดยใช้การเลือกแบบ Snowball Sampling เครื่องมือคือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การส่งเสริม Soft Power ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านวัฒนธรรมร่วมด้วยช่วยกัน อยู่ในระดับมากที่สุด และแนวทางการส่งเสริมควรมุ่งพัฒนาความร่วมมือกับชุมชน สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน</p> 2025-05-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร