วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE <p style="tab-stops: 21.3pt 70.9pt 92.15pt;"><u><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: black; background: white;">วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร</span></u><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif; color: black; background: white;"> </span></p> <p><u>กำหนดออก : </u><u>2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</u></p> <p><u>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : จัดพิมพ์ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย ผลงานสร้างสรรค์ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับศึกษาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ การบริหารการศึกษา ยุทธศาสตร์การบริหารและการพัฒนา การสอน จิตวิทยาการศึกษา และการแนะแนว หลักสูตร การศึกษา การวิจัย การวัดผลและประเมินผลการศึกษา สังคมศึกษา การประถมศึกษา การศึกษาปฐมวัย ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน คอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอร์ศึกษา สุขศึกษาและพลศึกษา การสอนวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา</u></p> <p><u>ISSN: 2465-5473 (Print) </u></p> <p>ISSN XXXX-XXXX (Online)</p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร th-TH วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 2465-5473 <p>CC Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0</p> แนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2062 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหา การเปรียบเทียบสภาพ และศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการในความปรกติใหม่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 317 คน ได้มาโดยการเปิดตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเคร็จซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />การแจกแจงความถี่ ร้อยละ จัดลำดับ และการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">สภาพการบริหารงานวิชาการในความปรกติใหม่ โดยภาพรวมมีสภาพการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก และปัญหาที่พบมากที่สุด คือ นักเรียนไม่มีความพร้อมในสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการเรียนรู้ 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการในความปรกติใหม่ จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า ไม่แตกต่างกัน 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการในความปรกติใหม่ พบว่า โรงเรียนควรมีการจัดเนื้อหาสาระการเรียนรู้ ปรับกิจกรรมการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ ควรปรับหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่น โดยให้เป็นรูปแบบของการเรียนในสังคมยุคดิจิทัล</span></p> ฎาริชา สาริทธญาณ์ ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 1 13 แนวทางการพัฒนาความพร้อมในการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2240 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคลังข้อสอบวัดสมรรถนะนักศึกษาครูตามกรอบการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาความพร้อมเพื่อการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 5 จำนวน 454 คน และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู จำนวน 173 คน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ข้อสอบวัดสมรรถนะนักศึกษาครูตามกรอบการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของคุรุสภา จำนวน 4 รายวิชา 2) แบบสอบถามแนวทางการพัฒนาความพร้อมเพื่อการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และ 3) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาความพร้อมเพื่อการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาข้อสอบเพื่อการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จำนวน 4 รายวิชา ได้แก่ วิชาชีพครู การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา แต่ละวิชามีคุณภาพข้อสอบด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และแนวทางในการพัฒนาความพร้อมเพื่อการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู พบว่า 1) ประเมินสมรรถนะและความพร้อมในเชิงวิชาการของตนเองก่อนและหลังการเตรียมความพร้อมฯ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องเนื้อหา และการคิดในแง่ของทัศนคติในการทำงานที่ดี ทบทวนความรู้ที่ได้เรียนมา และพยายามหาข้อสอบมาวิเคราะห์ สรุปความรู้ในเนื้อหาของแต่ละวิชาด้วยตนเอง ทบทวนความรู้อย่างต่อเนื่อง ฝึกทำข้อสอบอย่างหลากหลาย และศึกษาเนื้อหาให้ละเอียดและกว้างมาก เนื่องจากข้อสอบเน้นการคิดวิเคราะห์ และเนื้อหาค่อนข้างยาก 3) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ส่วนใหญ่ คือ การได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู 4) กระบวนการจัดการเรียนการสอน และการวัดและการประเมินผลตามรายวิชาในหลักสูตร มีความสัมพันธ์กับการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู 5) กิจกรรมการพัฒนาความพร้อมที่คณะฯ ดำเนินการ ควรจัดกิจกรรมล่วงหน้าในระยะเวลาที่นานกว่านี้ เพราะกิจกรรมที่จัดนั้น ยังไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้เพื่อการสอบ</p> ภัทวรรณ์ ไชยภักดิ์ วชิระ วิชชุวรนันท์ Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 14 26 แนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2319 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร 2. เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร ตามประสบการณ์ และขนาดของโรงเรียน 3. เพื่อหาแนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการ ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test Independent วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว one-way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชากานของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร ในภาพรวมทั้ง 5 ด้านโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดคือด้านการมีส่วนร่วมพัฒนาสื่อการเรียนการสอน รองลงมาคือด้านการมีส่วนร่วมพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ด้านการมีส่วนร่วมพัฒนาการวัดผลและประเมินผล ตามลำดับ 2. จากการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร จำแนกตามประสบการณ์การทำงานพบว่า ภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 <span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร แต่ละด้านควรดำเนินการดังนี้ โรงเรียนควรความสำคัญในการร่วมกันวิเคราะห์และกำหนดเป้าหมายของหลักสูตร ให้ครูได้มีส่วนร่วมในการประชุม วางแผนพัฒนาหลักสูตรจัดอบรมให้ครูมีความรู้ในเรื่องของการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล มีการวางแผนเกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาภายในและมาตรฐานการศึกษา เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการในการพัฒนาสถานศึกษา นอกจากนี้ครูยังต้องสำรวจความต้องการของผู้เรียนให้ทั่วถึง เพื่อจัดหาสื่อ</span>การเรียนการสอนที่ทันสมัยสำ เหมาะสมมีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อการจัดเรียนการสอน</p> ศิริพร สกุลไทย ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 27 46 ผลการพัฒนาคู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิต สำหรับครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบาล 3 (โรงเรียนอินทรัมพรรย์บุญประคองพิทยาคม) จังหวัดกำแพงเพชร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2214 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคู่มือ รวมทั้งการทดลองใช้และประเมินความเหมาะสมของคู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตสำหรับครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบาล 3 (โรงเรียนอินทรัมพรรย์บุญประคองพิทยาคม) จังหวัดกำแพงเพชร วิธีการดำเนินการวิจัยมี 6 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาความต้องการจำเป็น โดยการใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและกระบวนการสนทนากลุ่ม(Focus Group) จากครูปฐมวัยในการสร้างเครื่องมือ จำนวน 3 คน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาคู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตสำหรับครูปฐมวัย โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ร่างคู่มือ และตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน แล้วได้ปรับปรุงคู่มือทดลองใช้ ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้คู่มือฉบับทดลองกับครูปฐมวัย จำนวน 20 คน ขั้นตอนที่ 4 ปรับปรุงคู่มือฉบับทดลองใช้ ได้คู่มือฉบับนำไปใช้ ขั้นตอนที่ 5 การตรวจสอบยืนยันซ้ำคุณภาพคู่มือฉบับนำไปใช้กับคุณครูปฐมวัยต่างกลุ่ม จำนวน 20 คน โดยจัดอบรมครูจำนวน 3 ครั้ง 1) โรงเรียนอนุบาลราชภัฏกำแพงเพชร 2) โรงเรียนสาธิตวังยาง 3) โรงเรียนอนุบาลเมืองกำแพงเพชร (บ้านนครชุม) หลังจากนั้นตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง ขั้นตอนที่ 6 ปรับปรุงคู่มือครั้งสุดท้าย ได้คู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตสำหรับครูปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">ปัญหาการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิต สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการขาดองค์ความรู้ด้านทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัย ครูปฐมวัยไม่สามารถจำแนกทักษะชีวิตในแต่ละด้าน</span>ได้อีกทั้งยังไม่สามารถนิยามองค์ประกอบสำคัญของทักษะชีวิตแต่ละข้อได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมทำให้การตีความของครูปฐมวัยผิดเพี้ยนไป ส่งผลให้รูปแบบของการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ด้านการสร้างเครื่องมือที่ทันสมัยสอดคล้องกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย ครูปฐมวัยขาดความคิดสร้างสรรค์ในการบูรณาการทักษะชีวิตให้เข้ากับการจัดประสบการณ์ต่างๆ ที่จัดขึ้นให้กับเด็กในชั้นเรียน มักจะใช้รูปแบบเดิม และด้านการขาดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตสำหรับเด็กปฐมวัย ทำให้ไม่ว่าจะเป็นครู ผู้เรียน หรือผู้บริหารขาดการปฏิสัมพันธ์ อีกทั้งขาดโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ทำให้การทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์ยังไม่ได้เป็นการทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม 2. <span style="font-size: 0.875rem;">ครูปฐมวัยประเมินตนเองว่ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิต หลังรับการอบรมใช้คู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักชีวิต สำหรับครูปฐมวัยฉบับทดลองใช้สูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.01 ครูปฐมวัยมีเจตคติที่ดีต่อการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิต ครูปฐมวัยประเมินคุณภาพคู่มือฯ อยู่ในระดับดีมาก ภายหลังการอบรมใช้คู่มือฯ ครูปฐมวัยประเมินคุณภาพคู่มือฯ อยู่ในระดับดีมาก ครูปฐมวัยมีความตระหนักในการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตอยู่ในระดับมาก 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการประเมินซ้ำคุณภาพคู่มือการจัดประสบการณ์ด้านทักษะชีวิตฉบับนำไปใช้ ซึ่งใช้กับครูปฐมวัยต่างกลุ่ม มีผลดังนี้ </span>(1) ครูปฐมวัยที่ได้รับการอบรมใช้คู่มือฯ อยู่ในระดับดีมาก 2 ครั้ง และอีก 1 ครั้ง อยู่ในระดับดีมากที่สุด (2) ครูปฐมวัยที่ศึกษาคู่มือด้วยตนเอง ประเมินคุณภาพคู่มือฯ ว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก</p> อัฐณีญา สัจจะพัฒนกุล อรทัย บุญเที่ยง Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 47 58 แนวทางพัฒนาการบริหารโครงการอาหารกลางวันของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชรเขต 1 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2525 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารโครงการอาหารกลางวัน (2) เปรียบเทียบขนาดของสถานศึกษาในการบริหารโครงการอาหารกลางวัน และ(3) หาแนวทางพัฒนาการบริหารโครงการอาหารกลางวันของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริหารและครูผู้รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวันของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 รวมกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 17 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (On-way ANOVA) และ F-test ผลการศึกษาพบว่า (1) สภาพการบริหารโครงการอาหารกลางวันอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีระดับสูงที่สุด คือ ด้านกระบวนการดำเนินงาน ปัญหาในการบริหารโครงการอาหารกลางวัน ด้านที่มีปัญหามากที่สุด คือ ด้านการบริหารงบประมาณ สถานศึกษาไม่สามารถจัดทำโครงการเงินทุนหมุนเวียน เพื่อส่งเสริมผลผลิตในโครงการอาหารกลางวันได้ (2) การเปรียบเทียบการบริหารโครงการอาหารกลางวันจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ (3) แนวทางพัฒนาการบริหารโครงการอาหารกลางวัน พบว่า สถานศึกษาควรจัดทำฐานข้อมูลโภชนาการด้วยโปรแกรม THAI SCHOOL LUNCH ให้ความรู้ด้านอาหาร จัดแหล่งเรียนรู้ ด้านอาหารโดยผนวกเข้ากับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น ฐานเห็ดนางฟ้า ฐานสวนเกษตรอินทรีย์ ฐานนำหมักปุ๋ยน้ำหมักจากเศษผัก นำผลผลิตทางการเกษตรจำหน่ายสู่โรงอาหารของโรงเรียน และครูผู้รับผิดชอบจัดทำสรุปรายงานผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค ให้ผู้บริหารรับทราบเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน และทำการปรับปรุงพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป</p> อินทุอร มากเอี่ยม ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 59 77 Means of Performing the Speech Acts of Complaining in Vietnamese https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/2009 <p style="font-weight: 400;">This study investigates the use of complaining language in literary works by Anh N.N. The author examines the forms of using complaining speech acts based on the theory of pragmatics. Based on data collection, there are 408 utterances containing complaining speech acts expressed by means such as modal particles at the end of sentences, colloquial words, and a number of rhetorical devices. Complaining speech acts are most commonly expressed through the use of modal particles at the end of sentences, followed by colloquial words, and finally through the use of rhetorical devices.</p> Nguyen Kieu Yen Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14 78 89 ศรัทธา 4 กับการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู : นิยามองค์ประกอบ และการประยุกต์ใช้ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/EJFE/article/view/90-106 <p>บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอนิยาม องค์ประกอบจิตวิญญาณความเป็นครูและหลักศรัทธา 4 ในพระพุทธศาสนารวมถึงการประยุกต์ใช้เพื่อบ่มเพาะความรัก ความศรัทธาในวิชาชีพครูซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู หากครูมีความรักและเชื่อมั่นในอาชีพครูแล้วจะทำให้เป็นบุคคลที่ทุ่มเท เสียสละ มุ่งมั่นเพื่อพัฒนาตนเอง วิชาชีพรวมถึงพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านวิชาการและวิชาชีวิต รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่างกับคนอื่น ประพฤติตนสมกับสังคมยกย่องให้เกียรติ การเข้าถึงจิตวิญญาณความเป็นครูจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องอาศัยความรักความศรัทธา การประยุกต์หลักศรัทธา 4 ประการ ในทางพระพุทธศาสนามาใช้บ่มเพาะเพื่อให้นักศึกษาครู ครูฝึกหัดหรือครูประจำการได้ใช้เป็นแนวทางในพัฒนาตนเองจะช่วยให้จิตวิญญาณของครูสูงส่ง ประกอบด้วย 1) เชื่อมั่นว่าทุกการกระทำ (กัมมสัทธา) โดยเจตนาจะทำให้เกิดผลตามมา ครูจึงต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถเพราะทุกการกระทำจะไม่ไร้ผล 2) เชื่อมั่นในผลของการกระทำ (วิปากสัทธา) ทุกผลลัพธ์ย่อมเกิดจากสาเหตุ ใช่ความบังเอิญไม่ ครูจึงต้องเชื่อมั่นว่าหากทำด้วยความมุ่งมั่นย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ 3) เชื่อมั่นว่าแต่ละคนมีการกระทำเป็นของตัวเอง (กัมมัสสกตาสัทธา) ตัวเราทำอะไรไว้ ย่อมได้รับผลนั้น ไม่มีใครรับผลกรรมแทนได้ ครูจึงต้องเชื่อในการกระทำของตัวเอง มุ่งพัฒนาตนเองเชิงบวกทั้งทักษะ พฤติกรรม การคิด และเจตคติ และ 4) เชื่อมั่นว่าหากตั้งใจทำ สักวันหนึ่งต้องบรรลุเป้าหมาย (ตถาโพธิสัทธา) กล่าวคือ เข้าถึงความเป็นครูที่ประกอบด้วยความรัก ความเมตตาและความยุติธรรม </p> มนตรี หลินภู พระฟูตระกูล พุทธรักขิโต (หลินภู) Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-25 2023-12-25 7 14