https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/issue/feed
วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2024-06-24T11:17:40+07:00
นางสาวปิยพร สีสันต์
journaledu@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (Journal of Education Panyaphat Surindra Rajabhat University)</strong> เป็นวารสารวิชาการที่ครอบคลุมด้านการศึกษา สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมถึงวิทยาการด้านการบูรณาการศาสตร์เพื่อการพัฒนา มีนโยบายในการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยของนิสิต/นักศึกษา ครูผู้สอน คณาจารย์ และนักวิชาการที่สนใจ ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความวิชาการ</p>
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2139
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก สำหรับนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
2023-08-28T11:03:57+07:00
วรรณภรณ์ แก้วบ้านตรุด
keawbantrud.wanaporn@gmail.com
สวนันท์ แดงประเสริฐ
keawbantrud.wanaporn@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยสื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อสื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความพึงพอใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือจำนวน 10 ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ที่สร้างขึ้นได้รับการประเมินคุณภาพด้านเทคนิคอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.73, S.D. = .40) และได้รับการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.75, S.D. = .42) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 30.80, S.D. = 4.58) และ 3) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อสื่อการเรียนรู้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.58, S.D. = .60)</p>
2024-06-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2373
การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการจัดการสารสนเทศของสถานศึกษา
2023-10-11T15:09:27+07:00
เจษฎา ทองเสถียรกิจ
year.jetsada@gmail.com
ฉัตรทิพย์ สุวรรณชิน
chattip.sc@feu.edu
พงศ์กร จันทราช
pongkorn@feu.edu
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์สารสนเทศของสถานศึกษาและประเมินผลการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการจัดการสารสนเทศของสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 20 คน โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตารางวิเคราะห์สารสนเทศของสถานศึกษา โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ แบบประเมินโครงการ และแบบประเมินผลการพัฒนา ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิเคราะห์สารสนเทศของสถานศึกษา พบว่า สารสนเทศของแต่ละกลุ่มงานในสถานศึกษามีจำนวนมาก และมีการจัดเก็บสารสนเทศหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ Word, Excel, PDF และเอกสารประเภทกระดาษ ผลการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการจัดการสารสนเทศของสถานศึกษา พบว่า ผลการประเมินโครงการมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.33 ส่วนผลการประเมินการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการจัดการสารสนเทศของสถานศึกษา โดยผู้บังคับบัญชาและผู้เข้ารับการอบรม อยู่ในระดับปฏิบัติได้ดี ค่าเฉลี่ย 2.05 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p>
2024-06-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2419
การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3
2023-10-16T09:54:24+07:00
ขนิษฐา กุลกล้า
sujitra0542518@hotmail.com
สาโรจน์ เผ่าวงศากุล
sujitra0542518@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เปรียบเทียบการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม ทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา และพื้นที่จัดการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 3 จำนวน 285 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ที่ 1.00 และความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านมีการส่งเสริมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการบริหารจัดการ ด้านสื่อการสอน ด้านการวัดและการประเมินผล ด้านวิธีการจัดแผนการเรียนการสอน และด้านหลักสูตร 2) การเปรียบเทียบการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พบว่า สถานศึกษาขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีการส่งเสริมมากกว่าสถานศึกษาขนาดกลาง ส่วนสถานศึกษาขนาดเล็กกับสถานศึกษาขนาดใหญ่ ไม่มีความแตกต่างกัน 3) การเปรียบเทียบ การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3 จำแนกตามพื้นที่จัดการศึกษา โดยภาพรวมไม่มีความแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการบริหารจัดการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2183
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาวิธีการสอนวิชาทางด้านศิลปะไทย ของนิสิตสาขาวิชาศิลปศึกษา
2023-08-30T09:31:38+07:00
มุทิตา เทพบางจาก
6580126927@student.chula.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของนิสิตสาขาวิชาศิลปศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1-5 ปีการศึกษา 2561-2565 จำนวน 50 คน โดยการเลือกสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) โดยกำหนดสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างระดับชั้นละ 10 เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สัดส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในภาพรวมเกี่ยวกับศิลปะไทยในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความยากในการเรียนการสอนศิลปะลายไทย รองลงมา คือ ด้านวิธีการสอน, ด้านสื่อการสอน, ด้านกิจกรรมในชั้นเรียนและด้านความรู้เดิม ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ข้อเสนอสำหรับความคิดเห็นในการพัฒนาวิธีการสอนศิลปะลายไทยของนิสิตคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีดังนี้ มีการประยุกต์การสอนให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน มีการประยุกต์วิธีการสอนในโปรแกรมที่ทันสมัย สามารถให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง</span></p> <p>3. ข้อเสนอสำหรับความคิดเห็นจากอาจารย์ผู้สอนศิลปะไทย มีดังนี้ ควรมีการปรับวิธีการสอนให้เข้ากับบริบทปัจจุบันและสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาที่กำหนด ควรจัดหาสื่อการสอนหรือสิ่งที่แปลกใหม่ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนสนใจไม่เบื่อหน่าย </p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2559
แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2
2023-12-17T14:35:55+07:00
ศศิธร สังข์ลาโพธิ์
sujitra0542518@kru.ac.th
พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์
sujitra0542518@kru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการส่งเสริมการปฏิบัติงานและ 2) แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 จำแนกตามพื้นที่จัดการศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือ ข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 จำนวน 274 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามพื้นที่จัดการศึกษาและผู้ให้ข้อมูลสำคัญการสนทนากลุ่ม จำนวน 8 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 1.00 ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 และประเด็นการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ รองลงมา คือ ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ 2) แนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในสถานศึกษา ดังนี้ 2.1) ด้านการจัดการเรียนรู้ มีแนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครู คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ควรมีการจัดกิจกรรมการให้ความรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรสถานศึกษา และส่งเสริมการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นในเชิงบูรณาการอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการวัดและประเมินผลการจัดการศึกษา และส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่การจัดทำสื่อต่าง ๆ รวมถึงจัดหาแหล่งเรียนรู้ที่เป็นตัวอย่างให้กับสถานศึกษาที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกัน 2.2) ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ มีแนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครู คือ ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้อยู่เสมอ มีการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน และสามารถนำปราชญ์ชาวบ้าน ควรมีการตั้งคณะกรรมการระดับเขตพื้นที่การศึกษาในการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการศึกษา และใช้การจัดการนิเทศแบบบูรณาการโดยใช้ศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพเป็นฐาน (SP) ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายเพื่อติดตามภาระงาน 4 ด้าน ของสถานศึกษา 2.3) ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพมีแนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติงานของข้าราชการครู คือ ผู้บริหารควรให้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะเพิ่มเติมทั้งด้านเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสื่อและการจัดการเรียนการสอน และด้านภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร ควรมีการจัดให้มีการฝึกอบรมครูที่ปฏิบัติการสอนให้มีการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อนำมาใช้ ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนให้ครูได้ศึกษาต่อในสาขาที่ชอบและสนใจ </p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/3175
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ (O-NET) กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1
2024-06-12T16:05:19+07:00
อัจฉราพร ทองนำ
jeffykkucuswu@gmail.com
ภัทรพล ทองนำ
jeffykkucuswu@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านผู้เรียนกับผลสัมฤทธิ์การทดสอบ ระดับชาติ (O-NET) กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 217 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( 𝑥̅) ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Anova) และเมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจึงทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่</p> <p>(Scheffe 's method)</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านผู้เรียนกับผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ (O-NET) กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ในรายข้อ เมื่อขาดเรียนนักเรียนติดตามสอบถามงานจากเพื่อนหรือจากครูมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์