วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU <p><strong>วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (Journal of Education Panyaphat Surindra Rajabhat University)</strong> เป็นวารสารวิชาการที่ครอบคลุมด้านการศึกษา สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมถึงวิทยาการด้านการบูรณาการศาสตร์เพื่อการพัฒนา มีนโยบายในการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยของนิสิต/นักศึกษา ครูผู้สอน คณาจารย์ และนักวิชาการที่สนใจ ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (FACULTY OF EDUCATION, SURINDRA RAJABHAT UNIVERSITY) th-TH วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2985-0878 <p>ข้อความลิขสิทธิ์</p> การพัฒนาการเรียนรู้เรื่องการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้โมชันกราฟิกร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2271 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อโมชันกราฟิกเรื่องการนำเทคโนโลยีมา แก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนเรื่องการ นำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา โดยใช้โมชันกราฟิก และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ การวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 3 โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จำนวน 29 คน ได้มาจากการใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) และโดยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) สื่อโมชันกราฟิก เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา 2) แผนการจัดการ เรียนรู้ เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ 4) ข้อสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของผลการเรียนรู้โดย dependent sample t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สื่อโมชันกราฟิก เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา มีคุณภาพระดับมากที่สุด (มีค่าเฉลี่ย 4.82) และมีประสิทธิภาพ 96.96/85.68 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) ผลการจัดเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนรู้เรื่องการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา โดยใช้โมชัน กราฟิกร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องการนำ เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาโดยใช้โมชันกราฟิกร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือในระดับมากที่สุดค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.55</p> กัญญารัตน์ ทองแม้น จักรพงษ์ วารี Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 1 2 1 14 การพัฒนาการเรียนรู้ เรื่องวัสดุและอุปกรณ์พื้นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม AR ร่วมวิธีการสอนแบบร่วมมือ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2284 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความจริงเสริม AR ประกอบการสอนแบบร่วมมือ เรื่องวัสดุและเครื่องมือพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องวัสดุและอุปกรณ์พื้นฐาน จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม AR ร่วมวิธีการสอนแบบร่วมมือ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนรู้โดยการใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม AR ประกอบการสอนแบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก อ.พนมดงรัก จำนวนนักเรียน 22 คน ได้มาจากการเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เทคโนโลยีความจริงเสริม AR เรื่องวัสดุและเครื่องมือพื้นฐาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องวัสดุและเครื่องมือพื้นฐาน 3) แบบทดสอบ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของผลการเรียนรู้โดย dependent sample t – test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <ol> <li class="show">ผลวิเคราะห์คุณภาพของเทคโนโลยีความจริงเสริม AR อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.84/79.09 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75&nbsp;</li> <li class="show">ผลการจัดการเรียนรู้โดยเทคโนโลยีความจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.40 คะแนน หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.81 คะแนน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ผลวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนโดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม ร่วมกับวิธีการสอนแบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40</li> </ol> <p>&nbsp;</p> อธิติยา สร้างนอก จักรพงษ์ วารี กฤษฎิ์สรัล รุจิรภัชปณัยภพ Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 1 2 15 30 แนวทางการบริหารงานพัสดุของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2269 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานพัสดุของสถานศึกษา และ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานพัสดุของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 จำนวน 124 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 1.00 และความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.99 การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (focus group) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานพัสดุของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยคือ ด้านการเก็บและการบันทึก การเบิกจ่าย ด้านการยืม ด้านการจำหน่ายพัสดุ และด้านการบำรุงรักษาการตรวจสอบ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) แนวทางการบริหารงานพัสดุของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 มีแนวทางดังนี้ ผู้บริหารควรมีการกำกับติดตามความถูกต้องของบัญชี เมื่อมีการเบิกจ่ายพัสดุ ควรตรวจสอบครุภัณฑ์เป็นประจำและทำการซ่อมแซมบำรุงรักษาก่อนใช้งาน และควรลงบัญชีหรือลงทะเบียนต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และการจัดเก็บพัสดุให้สะดวกต่อการตรวจนับ ผู้บริหารควรให้อำนาจกับผู้รับผิดชอบตรวจสอบการยืมพัสดุและครุภัณฑ์ทุกครั้งว่าพัสดุและครุภัณฑ์นั้นอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่ หากมีสภาพไม่คงเดิมหรือเกิดการชำรุดเสียหาย จะต้องแจ้งให้ผู้ยืมทราบและแก้ไข ซ่อมแซมให้มีสภาพกลับมาคงสภาพเดิมก่อนที่จะรับคืน และจัดระบบสารสนเทศทะเบียนคุมวัสดุครุภัณฑ์เป็นปัจจุบัน สถานศึกษาควรคุมพัสดุอย่างรอบคอบ การปรับปรุงแก้ไข มีการเปลี่ยนแปลงโอนย้ายพัสดุในทะเบียนให้ถูกต้องและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง มีการดูแลตรวจสอบคุณภาพพัสดุของโรงเรียนเป็นประจำเพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานถ้าพบพัสดุชำรุดเสียหาย ไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานควรรีบดำเนินการซ่อมแซมทันที และควรจัดสรรงบประมาณในการดูแลซ่อมแซมพัสดุของโรงเรียนอย่างเพียงพอ สถานศึกษาควรแต่งตั้งคณะกรรมการในการจำหน่ายพัสดุที่ชัดเจน จัดอบรมให้กับบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานพัสดุ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงาน มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายพัสดุ ผู้บริหารควรให้ความสำคัญในการกำกับดูแล และติดตามการจำหน่ายพัสดุอย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านพัสดุควรได้รับการอบรมพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบพัสดุ การตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุควรคัดเลือกจากผู้มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ และจัดทำตารางการตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปีเพื่อการบำรุงรักษาก่อนเสื่อมสภาพ และจัดทำคู่มือประกอบการปฏิบัติงานพัสดุให้ความรู้ความเข้าใจในด้านการจำหน่ายพัสดุและปฏิบัติตามขั้นตอนการจำหน่ายพัสดุอย่างเคร่งครัด</p> ชุลี เกตุคง สาโรจน์ เผ่าวงศากุล Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 1 2 31 52 การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2253 <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการและเพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำแนกตามพื้นที่จัดการศึกษา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสาย<br>การสอน ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 252 คน โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิตามพื้นที่จัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <ol start="2"> <li class="show">การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำแนกตามพื้นที่จัดการศึกษา พบว่า ในภาพรวมและรายด้านทุกด้าน ไม่แตกต่างกัน</li> </ol> ณัฐดนัย ฤทธูทัย สาโรจน์ เผ่าวงศากุล นิพนธ์ วรรณเวช Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 1 2 53 70 การบริหารงาน การบริหารงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/1938 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 2)เพื่อศึกษาแนวการบริหารงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูและผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร จำนวน 70 โรงเรียน ประกอบด้วยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน และ ครู 1 คน รวม 140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา (มาตรฐานความรู้) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด&nbsp; (x ̅ = 4.87 , S.D. = 0.09) และเมื่อพิจารณารายมาตรฐาน พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 7 คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ&nbsp; (x ̅ = 4.98 , S.D. = 0.02) รองลงมา คือ มาตรฐานที่ 5 กิจการและกิจกรรมนักเรียน (x ̅ = 4.95 , S.D. = 0.02) และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 6 การประกันคุณภาพการศึกษา&nbsp; (x ̅ = 4.59 , S.D. = 0.22)&nbsp; ส่วน 2) แนวการบริหารงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา (มาตรฐานความรู้) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร ผลการวิเคราะห์เนื้อหาบทสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เพื่อทราบแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา โดยผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพภายในสถานศึกษา การติดตามผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และการรายงานผลการประเมินตนเอง</p> อานนท์ นามลาด สมบัติ เดชบำรุง สมใจ เดชบำรุง Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-18 2023-12-18 1 2 71 88 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2102 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย โดยใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนพิมายดำรงวิทยาคม จำนวน 32 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนหลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ Wilcoxon signed-rank test for two related samples และ Wilcoxon signed rank test for one sample</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1) ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน</span><span style="font-size: 0.875rem;">เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนแตกต่างจากก่อนใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคิดเป็นร้อยละ 91.04 และมีส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 5.95</span></p> <p> 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย หลังใช้วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 และมีส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 0.02</p> ธรรมรส สินชุม ศรีสุดา พัฒจันทร์ Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-19 2023-12-19 1 2 89 108 การบริหารงานวิชาการภายใต้ความปกติใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2180 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการและเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการภายใต้ความปกติใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามขนาดสถานศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำนวน 309 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการภายใต้ความปกติใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ดังนี้ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการ ด้านการวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน และด้านการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา ตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการภายใต้ความปกติใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามขนาดสถานศึกษา ในภาพรวม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยการบริหารงานวิชาการภายใต้ความปกติใหม่ในสถานศึกษาขนาดใหญ่ และสถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ มีการปฏิบัติมากกว่า สถานศึกษาขนาดเล็ก และสถานศึกษาขนาดกลาง </p> วีรวัฒน์ พนาสณฑ์ มิตภาณี พุ่มกล่อม Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 1 2 109 124 ภาวะผู้นำทางการบริหารการศึกษาในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JEDU-SRRU/article/view/2115 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา เปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู จำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูกลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 259 คนจาก 4 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากสูงที่สุดไปต่ำที่สุด ดังนี้ ด้านการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน รองลงมา คือ ด้านการมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการบริหารงานโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศ และ ด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในจันท์ ชล และกรุงเทพฯ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</span></p> ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ รวิพร ยุวรีย์ จริยารุ่งสว่าง บวร Copyright (c) 2023 วารสารครุศาสตร์ปัญญพัฒน์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-31 2023-12-31 1 2 125 148