https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/issue/feed วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2025-05-23T00:00:00+07:00 Assoc. Prof. Sanyasorn Swasthaisong, Ph.D. jmssnru@snru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ประกาศ เรื่อง ผลการประเมินคุณภาพวารสาร TCI ฐาน 2 </strong></p> <p>เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index – TCI) ได้ดำเนินการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐาน TCI รอบที่ 5 (พ.ศ. 2568-2572) และผลการประเมินปรากฏว่า วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ไ<strong>ด้รับการรับรองเป็น วารสารกลุ่มที่ 2</strong> โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572</p> <p><br />ด้วยเหตุนี้ วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จึงขอเชิญชวนนักวิชาการ นักศึกษา นักวิจัย คณาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้สนใจทั่วไป ส่งบทความวิจัยและบทความวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการและขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารของเราได้อย่างต่อเนื่อง</p> <p><br />ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์การส่งบทความ กำหนดการรับบทความ และกระบวนการพิจารณาได้ที่ เว็บไซต์ของวารสาร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p> <p>4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</p> <p>สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร<br />โทรศัพท์: 061-741 6565, 094 652 4145<br />อีเมล: jmssnru@gmail.com<br />เว็บไซต์: https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p> https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4435 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองของโมเดลภาวะผู้นำตามหลัก พรหมวิหาร 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 2025-01-15T21:17:47+07:00 ชญานิศ นามไพร chayanis5534@gmail.com สุเทพ เมยไธสง Chayanis5534@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 2) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีของโมเดลภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 502 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .969 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองของโมเดลภาวะผู้นำตามหลัก พรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 มี 4 องค์ประกอบ 12 ตัวบ่งชี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.02-4.69 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .56 - .92 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .291 - .756 2) ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีของโมเดลภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 พบว่า ค่าน้ำหนักขององค์ประกอบทุกตัวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ 2.1) ภาวะผู้นำด้านกรุณา 2.2) ภาวะผู้นำด้านเมตตา 2.3) ภาวะผู้นำด้านมุทิตา และ 2.4) ภาวะผู้นำด้านอุเบกขา มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ (λ) อยู่ระหว่าง .577-.734 มีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง หรือความเที่ยงตรงตามทฤษฎี เป็นไปตามเกณฑ์ มีความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้าง อยู่ระหว่าง .412 - .890 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4968 รูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2025-04-07T21:14:32+07:00 วรปภา อารีราษฎร์ dr.worapapha@gmail.com กฤตภาส วงค์มา krittaphat@snru.ac.th วสันต์ ศรีหิรัญ Wason.nu@gmail.com ณฤดี เนตรโสภา narudee@snru.ac.th มนต์ชัย เทียนทอง drmonchai@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) พัฒนาคู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และ 3) ทดลองใช้คู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประชากรเป็นบุคลากรสังกัดคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จำนวน 98 คน คัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเป็นผู้บริหาร อาจารย์ประจำหลักสูตร และเจ้าหน้าที่งานประกันคุณภาพหลักสูตร สังกัดคณะครุศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 53 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ รูปแบบและคู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร แบบสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบและคู่มือของรูปแบบ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามคู่มือของรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การวางแผน (Plan) ที่มีกิจกรรมการกำหนดนโยบายและการมอบหมายความรับผิดชอบ ส่วนที่ 2 การดำเนินงาน (Do) ที่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบ กำหนดหลักฐานอ้างอิง และการจัดอบรมการเขียน SAR ส่วนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบตรวจสอบ SAR ก่อนส่งให้กรรมการประเมิน และ ส่วนที่ 4 การปรับปรุง (Act) จัดอบรมการจัดทำแผนพัฒนาหลักสูตรและกำหนดผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องเข้ารับการอบรม โดยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการพัฒนาคู่มือของรูปแบบ ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 รายละเอียดของรูปแบบ ส่วนที่ 2 คำอธิบายเกณฑ์และวิธีการเขียน SAR Criterion 1 - Criterion 8 พร้อมตัวอย่าง ส่วนที่ 3 แนวทางการตรวจประเมินหลักสูตร ตัวอย่างรายงาน Desktop Assessments และ Feedback Report และส่วนที่ 4 ตัวอย่างการจัดทำแผนพัฒนาหลักสูตร และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือของรูปแบบ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ผลการทดลองใช้คู่มือของรูปแบบกับกลุ่มตัวอย่าง พบว่า โดยรวมกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4063 การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2024-10-17T15:45:02+07:00 ทวีวิทย์ ศรีธรรม bentaxi11853@gmail.com ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง thitiphta.muek@gmail.com สมชัย พุทธา Somchi41@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ศึกษาหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารหัวหน้าฝ่ายและครูในสถานศึกษา รวมจำนวนทั้งสิ้น 412 คน โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคตัวแปรด้านบริหารตามหลักธรรมาภิบาล เท่ากับ .97 และตัวแปรด้านการบริหารงานบุคคล เท่ากับ .93 สถิติที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การบริหารตามหลักธรรมา ภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ด้านหลักนิติธรรมด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใสด้านหลักการมีส่วนร่วม ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 สามารถทำนายการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถาน ได้ร้อยละ 54.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4362 แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 2025-01-12T19:53:25+07:00 ยศกร ภักดีสุวรรณ rr_yodsakorn@hotmail.com สุเทพ เมยไธสง Suthep.maythaisong@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 317 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ .67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นสภาพปัจจุบันเท่ากับ .97 และสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประเมินความต้องการจำเป็นด้วยค่า PNI <sub>Modified</sub> และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน ของแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการวางแผนกำลังคนและกำหนดตำแหน่ง 2) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 มีดังนี้ 2.1) ด้านการพัฒนาบุคลากร ควรจัดอบรม สัมมนา จัดทำแผนพัฒนาบุคคลากรให้ชัดเจน 2.2) ด้านการวางแผนกำลังคนและกำหนดตำแหน่ง ควรวิเคราะห์ จัดทำข้อมูลอย่างเป็นระบบ 2.3) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ควรมีการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล ติดตามผลเป็นระยะ 2.4) ด้านการธำรงรักษาบุคคลากร ควรมีข้อตกลง ให้ความเป็นธรรมการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน 2.5) ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัดและวิธีการปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4989 การบริหารจัดการหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2025-04-12T11:50:35+07:00 ปิยะนันท์ ปลื้มโชค Namneung@snru.ac.th วสันต์ ศรีหิรัญ Wason.nu@gmail.com ทศพล สิทธิ Tossapol.s@snru.ac.th ณฤดี เนตรโสภา narudee@snru.ac.th มนต์ชัย เทียนทอง drmonchai@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) ศึกษาประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีส่วนร่วมในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ อาจารย์ประจำหลักสูตร นักศึกษา และ ผู้ใช้บัณฑิต จำนวน 344 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และ แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารหลักสูตร โดยแบบสอบถามแต่ละชุดมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ และ ค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการบริหารจัดการหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มีองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ 1.1) นโยบาย หลักการ และแนวคิด การบริหารหลักสูตรที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล 1.2) การบริหารจัดการ ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า กระบวนการบริหารตามวงจร PDCA สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ 1.3) ประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตร และ 1.4) แผนการจัดการศึกษาตลอดหลักสูตร 2) การศึกษาประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตร พบว่า หลักสูตรสามารถรับนักศึกษาเข้าเรียนได้ตามแผนที่กำหนด ร้อยละของการสำเร็จการศึกษา อยู่ระหว่าง 85.71-94.29 ร้อยละของการออกกลางคันอยู่ระหว่าง 5.71-16.67 และ ภาวะการมีงานทำของนักศึกษา อยู่ที่ร้อยละ 100.00 และ 3) ความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการบริหารหลักสูตร พบว่า กลุ่มอาจารย์โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก กลุ่มผู้ใช้บัณฑิตโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และกลุ่มนักศึกษาโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4000 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มโรงเรียนอำเภอประจักษ์ศิลปาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 2024-10-09T22:47:51+07:00 พิมพ์ชนก ประชาชู p.poppisanupong@gmail.com ชารี มณีศรี Kpkannika1234@gmail.com สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ Kpkannika1234@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ประชากรที่ศึกษา คือ โรงเรียน จำนวน 14 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน จำนวน 123 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 98 ชุด คิดเป็นร้อยละ 79.67 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีการกระจายตัวน้อย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม รองลงมาคือ ด้านการเป็นผู้นำด้านวิสัยทัศน์ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ 2) แนวทางพัฒนาผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มโรงเรียนอำเภอประจักษ์ศิลปาคม เรียงลำดับจากค่าความถี่มากไปหาน้อย ดังนี้ การบริหารสถานศึกษาควรมีทักษะในการบริหารจัดการสถานศึกษาในการกำหนดวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่มีความชัดเจน กว้างไกล และสร้างสรรค์เพื่อนำพาสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ต้องมอบหมายงานตามความถนัดและความสามารถของบุคลากร มีความยุติธรรม มอบหมายและกระจายงานให้บุคลากรอย่างเท่าเทียมกัน ควรสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานโดยกล่าวคำชมหรือให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวกและมีความเฉลียวฉลาด สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และควรสนับสนุน และส่งเสริมให้บุคลากรใน สถานศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในการปฏิบัติงาน</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3997 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่มีต่อการรับรู้และการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย ในประเทศไทย 2024-09-19T15:22:41+07:00 ภัคพล รถเพ็ชร phakkhaphon.r@kkumail.com ศักดิ์สุริยา ไตรยราช tsaksu@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตลาดแบบบูรณาการที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย 2) เพื่อศึกษาการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย และ 3) เพื่อศึกษาการตลาดแบบบูรณาการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย ผู้วิจัยออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ มีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ คนเจนเนอเรชันวายที่เคยใช้บริการบาร์โฮสต์ จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) การตลาดแบบบออฟไลน์และแบบออนไลน์มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย 2) การรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย และ 3) การตลาดแบบบออฟไลน์และแบบออนไลน์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4444 การแบ่งกลุ่มลูกค้าเฟซบุ๊กแฟนเพจตามคุณลักษณะเด่นภายใต้กลยุทธ์ STP 2025-02-23T14:02:14+07:00 นาฏลดา เรืองชาญ nor.chayen@gmail.com ชนัญกาญจน์ แสงประสาน chanankarn@snru.ac.th <p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ตามคุณลักษณะเด่นภายใต้กลยุทธ์ STP โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบเคมีนอัลกอริทึมเคโพรโตไทป์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กแฟนเพจจำนวน 389 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า .5 ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหารายข้อเท่ากับ 1.00 ทุกข้อคำถามและมีความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่าครอนบาคเท่ากับ .901 ทำการเก็บข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม – เดือนตุลาคม 2565 ผลการศึกษา พบว่า ผลการแบ่งกลุ่มลูกค้า เฟซบุ๊กแฟนเพจ ตามคุณลักษณะเด่นได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์วัยรุ่นซื้อน้อยแต่พอใจง่าย (ร้อยละ 62.98) กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์ที่มีความคาดหวังสูง (ร้อยละ 35.22) กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และมีกำลังซื้อสูง (ร้อยละ 1.80)</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3734 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน กับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 2024-07-01T22:27:38+07:00 นภาวรรณ พิมสวน napawan120@gmail.com ปรัชญา ปิยะมโนธรรม prachaya.p@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การ การรับรู้บรรยากาศองค์การ และคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 2) ศึกษาเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์การ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน กับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 103 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ โดยรวมอยู่ในระดับมากทั้งหมด 2) ผลการเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุงานที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนเพศที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกัน 3) การรับรู้บรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .677 4) คุณภาพชีวิตในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .640</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4064 บทบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 2024-10-17T15:35:52+07:00 จินตนา สุนาวงศ์ chintana.sunawong@gmail.com ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง Chintana.Sunawong@gmail.com สมชัย พุทธา Chintana.Sunawong@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา 3) สร้างสมการพยากรณ์บทบาทของผู้บริหารที่สามารถทำนายการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา รวมจำนวนทั้งสิ้น 428 คน โดยการเปิดตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ครอนบาคของตัวแปรด้านบทบาทของผู้บริหาร เท่ากับ .87 และตัวแปรด้านการบริหารงานงบประมาณ เท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหาร โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงบประมาณของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) บทบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา พบว่า ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 สามารถพยากรณ์ทำนายการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา ประสิทธิภาพการทำนายร้อยละ 62.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-05-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3775 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ: กรณีศึกษาข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน 2024-07-08T12:13:17+07:00 ณัฐพัชร เอี่ยมสอาดวรกร 6512672002@rumail.ru.ac.th รังสิมา หอมเศรษฐี rungsima@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน จำนวน 135 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป แบบวัดพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเอง และแบบวัดสภาพแวดล้อมด้านจิตใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐานค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลวิจัยพบว่า 1) ครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสานมีพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเองกับสภาพแวดล้อมด้านจิตใจโดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) การรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .777 และ .746</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3894 การจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 2024-08-18T22:14:36+07:00 อรวรรณ ไอยราภิวัฒน์ dr.orawan.aiyarapiwat@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้และเปรียบเทียบการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 และ 2) ศึกษาความต้องการในการพัฒนาการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 136 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ จำนวน 272 คน รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแปรปรวนทางเดียว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 ที่มีขนาดต่างกัน มีการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผู้บริหารสถานศึกษามีความต้องการพัฒนาการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในด้าน 2.1) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้ให้เหมาะสม 2.2) พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบริหารการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาให้เป็นโปรแกรมสำหรับจัดการข้อมูลพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้วางแผนและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ 2.3) พัฒนาการจัดทำสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2.4) พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้เกี่ยวกับ การจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ 2.5) ส่งเสริมการจัดเครือข่ายบุคลากร ผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ 2.6) พัฒนาเว็บไซต์ของสถานศึกษา เพื่อการประชาสัมพันธ์ภารกิจและกิจกรรมของสถานศึกษา 2.7) ส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ รวมทั้งให้มีการรายงานผลเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดและผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3989 การบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี 2024-09-25T22:10:02+07:00 พิกุล โสนะโชติ phikul@upk.ac.th กิจพิณิฐ อุสาโห pmgkitpinit@gmail.com สุรางคณา มัณยานนท์ surangkana.manyanon@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดร<br />พิชัยรักษ์พิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสัมภาษณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 90 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา ภาพรวมอยู่ในระดับมากมีการกระจายตัวน้อย ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ งานกิจกรรมศาสนาและชุมชน รองลงมา คือ งานระบบเครือข่ายสารสนเทศ และ งานยานพาหนะ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ 2) แนวทางพัฒนาการบริหารงานทั่วไป ได้แก่ ผู้บริหารควรจัดทำแผนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ที่ชัดเจนยั่งยืน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียน ครู และชุมชน สร้างกลไกติดตามประเมินผล กำหนดตัวชี้วัด เป้าหมาย นำผลปรับปรุงแผน ผนวกแนวคิดเข้ากับแผนงาน รับฟังความคิดเห็น สำรวจประเมินสภาพปัจจุบัน วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี จัดทำคู่มือ แนวปฏิบัติจัดอบรม ติดตามปรับปรุงมาตรฐาน จัดทำหลักสูตรอบรม ฝึกปฏิบัติจริง และสร้างแรงจูงใจพัฒนาตนเองแก่เจ้าหน้าที่</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3791 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2024-07-22T11:59:53+07:00 รุจิกาญจน์ สานนท์ rujikarn_s@rmutt.ac.th ภูริณัฐ ยมกนิษฐ์ purinat_y@mail.rmutt.ac.th พิมพา หิรัญกิตติ pimpa_h@rmutt.ac.th สินิทรา สุขสวัสดิ์ sinittra.ss@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประชากร คือ ผู้ที่มีความสนใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตามสะดวก ใช้สถิติพรรณนาได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ ปัจจัย การยอมรับเทคโนโลยี อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .78 รองลงมาคือ ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .55 ถัดมาคือ ปัจจัยด้านทัศคติ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .68 ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.26 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .81 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม (β = 0.625) และปัจจัยด้านทัศนคติ (β = 0.175) และสามารถร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ร้อยละ 49.5 สร้างสมการทำนายในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Z = .625 (ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม) +.175 (ปัจจัยด้านทัศนคติ)</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3941 การบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี 2024-09-01T22:34:39+07:00 ปพัฒน์กรณ์ แดนโคตผม papatyoo02@gmail.com กิจพิณิฐ อุสาโห pmgkitpinit@gmail.com สุรางคณา มัณยานนท์ surangkana.manyanon@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี 2) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ใช้รูปแบบการวิจัยผสมผสานวิธี (mixed method research) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงที่ .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .68 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิต ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการดำเนินงานกิจการโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม คือ ภารกิจการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการจัดทำแผนงาน/โครงการอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินงานป้องกันหรือแก้ไขปญหานักเรียนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มมีปัญหาและภารกิจการประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียน ผู้บริหาร ครู และนักเรียนควรมีส่วนร่วมในการประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียนทุกกิจกรรมและรายงานผลการประเมินให้ผู้บริหารสถานศึกษาทราบและนำผลไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานกิจการนักเรียนต่อไป</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4093 ส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง ในจังหวัดนนทบุรี 2024-10-17T15:32:08+07:00 มนต์มนัส เจริญอินทร์ monmanatfc@hotmail.com อาภรณีน์ อินฟ้าแสง arinfa@rpu.ac.th ยุทธนาท บุณยะชัย Yoboon@rpu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี 2) ระดับความคิดเห็นของกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี 3) เปรียบเทียบความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาดของการใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี เมื่อพิจารณาตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) เปรียบเทียบความคิดเห็นของกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง เมื่อพิจารณาตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 5) ความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี โดยใช้แบบสอบถามเก็บกลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยาง ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการเปรียบเทียบส่วนประสมทางการตลาด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า มีความแตกต่างกันในด้านอายุและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 4) ผลการเปรียบเทียบกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล มีความแตกต่างกันในด้านอายุและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 5) ภาพรวมของส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง อยู่ในระดับสูงมาก</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3830 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 2024-08-03T14:43:54+07:00 เขมกร ช้อยบัวงาม knemmakorn21122534@gmail.com ศุภชัย ทวี supachai.t@nsru.ac.th ทีปพิพัฒน์ สันตะวัน teeppipat@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 291 คน โดยกำหนดขนาดจากตารางเครซี่และมอร์แกน และใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งได้รับการตอบกลับจำนวน 283 คน คิดเป็นร้อยละ 97.25 มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก มีด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล รองลงมาคือ ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการจินตนาการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 2) การบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าความสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3813 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและแนวทางการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 2024-08-03T15:46:12+07:00 ฐิติพร จึงธีรพานิช thitipaul_j@hotmail.com ศิริรัตน์ รัตนพิทักษ์ sirirat_rat@utcc.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 2) เพื่อศึกษาการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 3) เพื่อศึกษาความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 4) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างสุ่มจากผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์เส้นหมี่ตรา AB ในจังหวัดลพบุรี จำนวน 385 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากผลการวิจัย 1) ความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี พบว่า ภาพรวมความพึงพอใจในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านราคา ตามลำดับ 2) การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณษรายด้าน พบว่า ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยเงื่อนไขและสัญญา มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยวิธีให้ความรู้เฉพาะด้าน และด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการให้รางวัล ตามลำดับ 3) ความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านทัศนคติ มีความภักดีอยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านพฤติกรรม 4) การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ และการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยเงื่อนไขและสัญญา การสร้างความสัมพันธ์ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการให้ความรู้เฉพาะด้าน มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3831 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 2024-08-15T12:02:53+07:00 สาวิตรี เวียงคำ nakkee265@gmail.com พรทิวา แสงเขียว porntiwa@gmail.com ถิรวุฒิ ยังสุข Tirawut.yo@spu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 363 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัล ทักษะวิชาชีพบัญชี และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ภาพรวม อยู่ในระดับมาก และคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3887 ผลกระทบของศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่มีต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์กองทัพบก 2024-08-16T22:23:06+07:00 พงษ์ศวัฒน์ ทัศสมบัติ phongtass@gmail.com สุวรรณ หวังเจริญเดช suwan.w@acc.msu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลกระทบของศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่มีต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์กองทัพบก โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารของกองทัพบก และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 173 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารของกองทัพบก มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์โดยรวม และรายด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนงบประมาณ ด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการบริหารสินทรัพย์ ด้านการบริหารทางการเงินและการควบคุมงบประมาณ และด้านการบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบภายใน อยู่ในระดับมาก และผู้บริหารของกองทัพบก ที่มีอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งผู้บริหารด้านการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน แตกต่างกัน มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์โดยรวม และรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานมีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพบก ข้อเสนอแนะที่ได้คือ ผู้บริหารของกองทัพบกสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา บริหาร และวางแผนศักยภาพ การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพบก</p> 2025-05-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร