วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU <p><strong>ประกาศ เรื่อง ผลการประเมินคุณภาพวารสาร TCI ฐาน 2 </strong></p> <p>เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index – TCI) ได้ดำเนินการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐาน TCI รอบที่ 5 (พ.ศ. 2568-2572) และผลการประเมินปรากฏว่า วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ไ<strong>ด้รับการรับรองเป็น วารสารกลุ่มที่ 2</strong> โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572</p> <p><br />ด้วยเหตุนี้ วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จึงขอเชิญชวนนักวิชาการ นักศึกษา นักวิจัย คณาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้สนใจทั่วไป ส่งบทความวิจัยและบทความวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการและขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารของเราได้อย่างต่อเนื่อง</p> <p><br />ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์การส่งบทความ กำหนดการรับบทความ และกระบวนการพิจารณาได้ที่ เว็บไซต์ของวารสาร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p> <p>4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</p> <p>สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร<br />โทรศัพท์: 061-741 6565, 094 652 4145<br />อีเมล: jmssnru@gmail.com<br />เว็บไซต์: https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p> คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร th-TH วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2774-0390 <p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นทัศนะ ลิขสิทธิ์ และความรับผิดชอบของผู้เขียนเจ้าของผลงาน</p> ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ กระบวนการจัดการความรู้กับองค์การแห่งความเป็นเลิศ: กรณีศึกษาบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่ง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3726 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับองค์การแห่งความเป็นเลิศ พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ กระบวนการจัดการความรู้ของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่ง 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา และระยะเวลาในการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่งกับองค์การแห่งความเป็นเลิศ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ กระบวนการจัดการความรู้ กับองค์การแห่งความเป็นเลิศของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 120 คน โดยหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการคํานวณจากสูตรยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, one way anova ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่ง มีการเป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศ พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ และกระบวนการจัดการความรู้ โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) ปัจจัยส่วนบุคคล เพศ และระดับการศึกษา ที่ต่างกันมีการเป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศแตกต่างกัน 3) พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ กระบวนการจัดการความรู้ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับองค์การแห่งความเป็นเลิศของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งหนึ่ง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .671 และ .763</p> สายสมร พลพรม รังสิมา หอมเศรษฐี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 1 15 รูปแบบธุรกิจ พฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าจากสารสกัดลางสาดเชิงพาณิชย์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3701 <p class="whitespace-pre-wrap" style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบธุรกิจและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสารสกัดลางสาดเพื่อผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า และ 2) พฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการสัมภาษณ์วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการ 20 ราย และใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสารสกัดจากลางสาด ของผู้ประกอบการ ได้แก่ การมีใบรับรองคุณภาพ คุณสมบัติของสารสกัด กรรมวิธีการสกัด และราคา รูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมประกอบด้วยการจัดตั้งกลุ่มธุรกิจชุมชน โมเดลวิสาหกิจเพื่อสังคม และการบริหารจัดการในรูปแบบสหกรณ์ ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 41-50 ปี นิยมใช้เซรั่มแบบครีม วันละ 2 ครั้ง โดยมีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และลดจุดด่างดำ ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าจากสารสกัดลางสาดเชิงพาณิชย์ คือ ด้านผลิตภัณฑ์ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง อยู่ในระดับมากที่สุด ราคาและปริมาณ อยู่ในระดับมาก และด้านช่องทางการจำหน่ายซื้อง่ายและสะดวก อยู่ในระดับมาก ด้านส่งเสริมการตลาด การลดราคาหรือโปรโมชัน ณ จุดจำหน่ายอยู่ในระดับมาก</p> ศรีไพร สกุลพันธ์ สินีนาถ วิกรมประสิทธิ ปิยวรรณ ปาลาศ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 16 30 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบันทึกสินทรัพย์ในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ของหน่วยงานในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3596 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน สภาพแวดล้อมและการกำกับติดตาม ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการบันทึกสินทรัพย์ในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประชากรที่ใช้ศึกษาได้แก่ นักวิชาการเงินและบัญชีระดับชำนาญการพิเศษ ระดับชำนาญการ ระดับปฏิบัติการ ในพื้นที่ 77 จังหวัด และส่วนกลาง ที่ปฏิบัติงานในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสิ้น 270 ราย โดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน ด้านทักษะในการใช้งานระบบ และสมรรถนะในการทำงาน ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของการบันทึกสินทรัพย์ในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ด้านความถูกต้อง ด้านความโปร่งใส และ ด้านตรวจสอบได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สภาพแวดล้อมและการกำกับติดตาม ด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน การควบคุมและการตรวจสอบ และการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของการบันทึกสินทรัพย์ในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ด้านความถูกต้อง ด้านความโปร่งใส และ ด้านตรวจสอบได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ธนัชพร อินกองงาม พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 31 44 การเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษาหลักสูตรสหกิจศึกษา และการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3610 <p>วัตถุประสงค์ของบทความนี้เพื่อนำเสนอแนวทางการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษาหลักสูตรสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน เป็นรูปแบบการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทำให้มีการพัฒนาตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับแนวโน้มการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา จะต้องมีการปรับเปลี่ยนจากที่มุ่งเน้นด้านองค์ความรู้ของผู้เรียนเพียงอย่างเดียว เป็นการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาให้มีศักยภาพที่เหมาะสมต่อการทำงานในยุคสมัยที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในทุก ๆ ภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนโดยเฉพาะในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น การนำทักษะที่ได้รับการกล่าวถึงในสภาเศรษฐกิจโลก ว่าจำเป็นต่อการทำงานในอนาคต และหนึ่งในนั้น คือ พลังสุขภาพจิต ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติโดยกรมสุขภาพจิต ให้คำอธิบายไว้ว่า เป็นความสามารถเฉพาะบุคคลที่พัฒนาได้ ในการปรับตัวและฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ภายหลังเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤต เมื่อนำมาผสมผสานกับหลักสูตรสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน จะทำให้บัณฑิตที่จบออกไปเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถที่มีประโยชน์ต่อสถานประกอบการ เป็นผู้ที่มีความสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง มีความกระตือรือร้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และยังคงรักษาการดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุล</p> ศศิวัฒน์ ตันติบุญยานนท์ นลิน ศรพรหม Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 45 57 ความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์และประสิทธิภาพ การบริหารหนี้สินกับการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET100 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3696 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์และประสิทธิภาพการบริหารหนี้สินกับการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET100 ในระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2565 จำนวน 100 บริษัท ตัวแปรอิสระ ได้แก่ อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ อัตราส่วนหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร อัตราส่วนหมุนเวียนสินทรัพย์รวม อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ทำการศึกษากับการประเมินมูลค่าหุ้นโดยวัดค่าจากอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ และอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การทดสอบสถิติ ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลของการศึกษาพบว่าอัตราส่วนหมุนเวียนสินทรัพย์รวมและอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น มีความสัมพันธ์กับอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวมมีความสัมพันธ์กับอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อัตราส่วนสินค้าคงเหลือความสัมพันธ์กับอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อัตราส่วนสินค้าคงเหลือและอัตราส่วนหมุนเวียนสินทรัพย์รวมมีความสัมพันธ์กับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่า ทางบัญชี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีความสัมพันธ์กับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กษิดิศ กิจธัญญะสัมพันธ์ ดารณี เอื้อชนะจิต ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 58 70 ปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุ ขององค์การบริหารส่วนตำบล ในเขตอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3655 <p>การบริหารงานพัสดุของค์การบริหารส่วนตำบล จะประสบผลสำเร็จและบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีการประยุกต์ใช้ทรัพยากรการบริหารจัดการที่จะทำให้การบริหารงานพัสดุสำเร็จได้ การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยทางการบริหาร และประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก 3) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม จำนวน 230 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยทางการบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยทางการบริหารด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านงบประมาณ และด้านวิธีการทำงาน มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ด้านบุคลากร มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถร่วมกันทำนายระดับประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ได้ร้อยละ 91.30 ยกเว้นปัจจัยทางการบริหารด้านการจัดการ และด้านคุณธรรมจริยธรรม 3) แนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม มีจำนวน 2 ด้าน คือ 1) ด้านการกำหนดความต้องการใช้พัสดุ 2) ด้าน การบำรุงรักษาพัสดุ</p> มนตรี ธงชัย ชาติชัย อุดมกิจมงคล สามารถ อัยกร Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 71 86 ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการชำระภาษีของผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางช่องทางออนไลน์บนแฟลตฟอร์ม Shopee https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3666 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยภายในที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการชำระภาษีของผู้ประกอบการที่ขายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์บนแฟลตฟอร์ม Shopee 2) เพื่อศึกษาปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อประสิทธิภาพการชำระภาษีของผู้ประกอบการที่ขายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์บนแฟลตฟอร์ม Shopee กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์บนแฟลตฟอร์ม Shopee จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ 1) วิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน 2) วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ปัจจัยภายในด้านความรู้ทางภาษีของผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางช่องทางออนไลน์บนแฟลตฟอร์ม Shopee มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการเสียภาษีของผู้ประกอบการ ความครบถ้วนของการเสียภาษี ความตรงเวลาของการชำระภาษี ความถูกต้องของการชำระภาษี และความประหยัดของการชำระภาษี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และปัจจัยภายนอกด้านการได้รับคำแนะนำจากหน่วยงานที่จัดเก็บภาษี มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการเสียภาษีของผู้ประกอบการด้านความตรงเวลาของการชำระภาษี และด้านความประหยัดของการชำระภาษี แต่ปัจจัยภายนอกด้านข้อบังคับของกฎหมายมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการเสียภาษีของผู้ประกอบการ ด้านความครบถ้วนของการชำระภาษี ด้านความตรงเวลาของการชำระภาษี</p> พัณณิตา มุงเมือง จิรพงษ์ จันทร์งาม Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 87 101 ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพแบบหวั่นไหวทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ และคุณภาพชีวิตในการทำงาน กับภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงานบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3735 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะหมดไฟในการทำงาน บุคลิกภาพแบบหวั่นไหวทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ และคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง 2) ศึกษาเปรียบเทียบภาวะหมดไฟในการทำงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ได้แก่ เพศ อายุ และระยะเวลาในการทำงานกับบริษัทปัจจุบัน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะหมดไฟในการทำงาน กับบุคลิกภาพแบบหวั่นไหวทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ และคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 120 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการคํานวณจากสูตรยามาเน่ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่มีเพศต่างกัน มีภาวะหมดไฟในการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) บุคลิกภาพแบบหวั่นไหวทางอารมณ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะหมดไฟในการทำงานอยู่ในระดับค่อนข้างสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .638 ความฉลาดทางอารมณ์และคุณภาพชีวิตในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟในการทำงานในระดับค่อนข้างสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ -.747 และ -.779 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามลำดับ</p> กานต์สินี เพชรสงฆ์ รังสิมา หอมเศรษฐี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 102 116 สาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกองทุนรวมของลูกค้าธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3589 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อกองทุนรวมของลูกค้าธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกองทุนรวม 3) เพื่อศึกษาปัญหาการจำหน่ายกองทุนรวม 4) เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการจำหน่ายกองทุนรวม โดยเป็นการวิจัย เชิงผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับลูกค้าธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 จำนวน 390 ราย การ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยเชิงพหคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์ กับลูกค้าที่ไม่ตัดสินใจและตัดสินใจซื้อกองทุนธนาคารออมสิน จำนวน 13 ราย และ พนักงานธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 จำนวน 13 ราย ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีการตัดสินใจซื้อกองทุนรวมของลูกค้าธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ราคา และบุคลากร มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อกองทุนรวมของลูกค้าธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 3) ปัญหาการจำหน่ายกองทุนรวมของธนาคารออมสิน เขตเชียงใหม่ 3 ได้แก่ ปัญหาพนักงานธนาคารออมสิน ปัญหาระบบการซื้อขายกองทุนของธนาคารออมสิน ปัญหาการโฆษณากองทุน และปัญหาทัศนคติลูกค้า และ 4) แนวทางการแก้ปัญหา คือ การแก้ปัญหาพนักงานธนาคารออมสิน การแก้ปัญหาระบบการซื้อขายกองทุนของธนาคารออมสิน การแก้ปัญหาการโฆษณากองทุน และการแก้ปัญหาทัศนคติลูกค้า</p> ศิรินทรา อายุวิวัฒน์ อัศวิณ ปสุธรรม Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 117 129 การเพิกถอนหมายจับ: การเปรียบเทียบวิเคราะห์ในกฎหมายไทยและกฎหมายเยอรมนี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3730 <p style="font-weight: 400;">หมายจับนั้นถือได้ว่าเป็นหมายอาญาประเภทหนึ่ง และเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งสำหรับเจ้าหน้าที่ ของรัฐ เพื่อให้ได้ตัวผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งการจับนั้นเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญนั้นห้ามมิให้กระทำ เว้นแต่การจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ซึ่งหมายจับก็ได้มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นการออกหมายจับต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่มีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องหรือเหตุประการอื่นในขั้นตอนการพิจารณาออกหมายจับ ดังนั้น จึงควรมีหลักเกณฑ์การเพิกถอนหมายจับที่ได้ออกโดยไม่ถูกต้อง บทความเรื่องหลักเกณฑ์การเพิกถอนหมายจับนี้จะศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการเพิกถอนหมายจับของประเทศไทย ที่มิได้มีการบัญญัติถึงหลักเกณฑ์การเพิกถอนหมายจับไว้ในบทกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งบทกฎหมายที่เกี่ยวกับการเพิกถอนหมายจับนั้นจะมีบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 59 วรรคท้าย มาตรา 68 และ ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคําสั่งหรือ หมายอาญา พ.ศ. 2548 ข้อที่ 24 ซึ่งบทบัญญัติที่กล่าวมานี้ มิได้บัญญัติหลักเกณฑ์การเพิกถอนหมายจับไว้อย่างชัดเจนแต่อย่างใด บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงหลักเกณฑ์ในการเพิกถอนหมายจับ โดยมีการเปรียบเทียบกับกฎหมายในต่างประเทศ คือ ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีการใช้ระบบกฎหมายแบบซีวิลลอว์ อันเป็นการใช้ระบบกฎหมายเหมือนกับประเทศไทย และบทความนี้มีความมุ่งหมายที่จะศึกษาผลกระทบอันเกิดจากการใช้อำนาจของศาลในการเพิกถอนหมายจับ รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยการบัญญัติถึงหลักเกณฑ์ในการเพิกถอนหมายจับลงในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา</p> พฤกษ์ โชติพฤกษ์ชูกุล Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 130 144 ทักษะและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่มีผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงาน การจัดเก็บภาษีอากรของสำนักงานสรรพากรเขตภาคเหนือตอนบน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3649 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการปฏิบัติงานที่มีผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานการจัดเก็บภาษีอากรของสำนักงานสรรพากรเขตภาคเหนือตอนบน 2) ศึกษาสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่มีผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานการจัดเก็บภาษีอากรของสำนักงานสรรพากรเขตภาคเหนือตอนบน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสรรพากรเขตภาคเหนือตอนบน จำนวน 305 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน 2) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า เจ้าหน้าที่ในเขตสำนักงานสรรพากรภาคเหนือตอนบนมีความคิดเห็นต่อทักษะการปฏิบัติงาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาความคิดเห็นเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ทักษะการปฏิบัติงานตามระเบียบกรมสรรพากร รองลงมา คือ ทักษะการสื่อสาร ทักษะทางวิชาชีพ และทักษะทางปัญญา ตามลำดับ และมีความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาความคิดเห็นเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการประชาสัมพันธ์ รองลงมา คือ ด้านการอำนวยความสะดวก และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า ทักษะการปฏิบัติงานและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานมีผลเชิงบวกต่อคุณภาพการปฏิบัติงานการจัดเก็บภาษีอากรด้านจำนวนเงินภาษีที่จัดเก็บได้ ด้านความสำเร็จของงานที่ทันเวลา ด้านผลงานน่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน และด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้องของสำนักงานสรรพากรเขตภาคเหนือตอนบนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อารี แมนมนตรี ดารณี เอื้อชนะจิต Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 145 160 แนวทางการพัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3786 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และ 2) พัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี การวิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการผสมผสานกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยกลุ่มวิสาหกิจ จำนวน 4 กลุ่ม โดยวิธีการคัดเลือกกลุ่มวิสาหกิจที่ดำเนินการด้านเกษตรหรือมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ และผู้นำชุมชน จำนวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) กระบวนการพัฒนาการส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยว มีองค์ประกอบครบทั้งด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สภาพภูมิอากาศ ลักษณะตามธรรมชาติ การคมนาคมเดินทางสะดวกปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภคมีความเพียงพอ การประชาสัมพันธ์ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและสถานประกอบการ 2) แนวทางการพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร พบว่า มีความน่าสนใจ และสามารถพัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวได้ เนื่องจาก มีความพร้อมด้านบุคลากร กายภาพของธรรมชาติ การบริหารจัดการ และด้านการตลาด</p> อัจฉราวรรณ สุขเกิด Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 161 171 ประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นและ มูลค่าหลักทรัพย์ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มหุ้นยั่งยืน THSI https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3670 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการดำเนินงานต่อการประเมินมูลค่าหุ้น และเพื่อศึกษา การประเมินมูลค่าหุ้นที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มหุ้นยั่งยืน THSI เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มหุ้นยั่งยืน THSI ระหว่างปี 2563-2565 ผลการวิเคราะห์ พบว่า ประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ส่งผลเชิงบวกต่อการประเมินมูลค่าหุ้นที่วัดด้วยอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ส่วนตัวแปรประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นวัดค่าจากกำไรต่อหุ้น (EPS) คือ อัตรากำไรสุทธิ (NPM) ส่งผลเชิงลบ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ส่งผลเชิงบวก ประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นที่วัดค่าจากเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) การประเมินมูลค่าหุ้นประกอบด้วย อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) กำไรต่อหุ้น (EPS) และเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) ส่งผลเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์โดยวัดค่าจากราคาหลักทรัพย์ (STP) และ การประเมินมูลค่าหุ้นส่งผลเชิงบวกต่อมูลค่าหุ้นวัดค่าจากผลตอบแทนหลักทรัพย์ (STR) โดย อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) และเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) ส่งผลเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ที่วัดด้วย ผลตอบแทนหลักทรัพย์ (STR) กำไรต่อหุ้น (EPS) ส่งผลเชิงลบต่อมูลค่าหลักทรัพย์</p> พิชชาพร เทศฤทธิ์ ถิรวุฒิ ยังสุข ดารณี เอื้อชนะจิต Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 172 185 การสร้างภาวะผู้นำยุคใหม่สำหรับการพัฒนารัฐวิสาหกิจในศตวรรษที่ 21: กลยุทธ์การปรับตัวและความสำเร็จอย่างยั่งยืน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3949 <p>ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเมืองและสังคมอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลาย ๆ ภาคส่วนรวมถึงองค์กรรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตามความสำเร็จหรือความล้มเหลวของรัฐวิสาหกิจ ถูกขับเคลื่อนโดยผู้นำ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบริหารองค์การให้บรรลุตามเป้าหมายและพันธกิจที่ตั้งไว้ ดังนั้นเพื่อความก้าวหน้าของรัฐวิสาหกิจในศตวรรษที่ 21 ผู้นำจำเป็นต้องพัฒนาและเปลี่ยนตนเองหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้บทความวิชาการนี้จึงได้มุ่งเน้นถึงคุณลักษณะของผู้นำ ภาวะผู้นำ และบทบาทหน้าที่ของผู้นำในการบริหารรัฐวิสาหกิจในศตวรรษที่ 21 ซึ่งลักษณะของผู้นำในการบริหารรัฐวิสาหกิจประกอบไปด้วย ความรู้ สติปัญญาและความคิด ความสามารถในการสื่อสาร จริยธรรมและคุณธรรม พร้อมกับภาวะผู้นำแห่ง การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว ภาวะผู้นำทางด้านพันธมิตร ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ภาวะผู้นำแบบดุลยภาพ ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ ในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าเพิ่มให้กับประเทศ การบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กร การจัดการความยากจนและความเสมอภาค เพื่อเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนและความก้าวหน้าในรัฐวิสาหกิจและปรับตัวในทันต่อสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในศตวรรษที่ 21 ในการนี้สามารถนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ในการวิจัยและนำไปใช้กับบริบทของผู้นำได้</p> สายป่าน จักษุจินดา พิศณี พรหมเทพ ชาญชัย ศุภวิจิตรพันธุ์ ประภัสสร ดาวะเศรษฐ์ ดวงฤดี อิ่มบุญสุ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 186 196 ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการ ค่าตอบแทนกรรมการ และคุณภาพการสอบบัญชี กับความสามารถในการทำกำไรและการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่ม SET100 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3678 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการ ค่าตอบแทนกรรมการ และคุณภาพการสอบบัญชี กับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET100 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการ ค่าตอบแทนกรรมการ และคุณภาพการสอบบัญชี กับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET100 งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลทางการเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงปี พ.ศ. 2566 จำนวน 68 บริษัท ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 340 ตัวอย่าง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ค่าตอบแทนกรรมการ ได้แก่ ค่าตอบแทนรายปี มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และค่าตอบแทนกรรมการ ได้แก่ ค่าเบี้ยประชุม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตรา เงินปันผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าการกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสม จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กรรมการทำงานอย่างมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท ส่วนคุณภาพการสอบบัญชี ได้แก่ ขนาดของบริษัทสอบบัญชี มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม และอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราเงินปันผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าการเลือกใช้บริษัทสอบบัญชีจากกลุ่ม BIG4 จะมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรและการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนได้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง มีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้</p> วัชรี รัตนพันธ์ พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 197 212 การบริหารงานตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารธุรกิจรับผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ครบวงจร จังหวัดสมุทรสาคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3916 <p>การบริหารธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคการจัดการ 4.0 นั้น ผู้บริหารจะต้องมีภาวะผู้นำโดยนำหลักธรรมอิทธิบาท 4 มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการบริหารงาน อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคลากรและผู้ใต้บังคับบัญชาและหากพนักงานต่างก็นำหลักธรรมอิทธิบาท 4 มาใช้ในการปฏิบัติงาน ก็ยิ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของงานสูงมากยิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารธุรกิจ ของผู้บริหารธุรกิจรับผลิตอาหารเสริม สุขภาพ และความงามครบวงจร จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารธุรกิจรับผลิตอาหารเสริม สุขภาพ และความงามครบวงจร จังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตามขนาดกำลังการผลิต ได้แก่ โรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ 3) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารงานตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารธุรกิจรับผลิตอาหารเสริม สุขภาพ และความงามครบวงจร จังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ โดยมีพนักงานที่ปฏิบัติงานในธุรกิจรับผลิต อาหารเสริมและเครื่องสำอาง ครบวงจร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งไม่สามารถนับจำนวนประชากรได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีการคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรการคำนวณกรณีไม่ทราบจำนวนประชากร ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้น 5 % ใช้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าเอฟ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารธุรกิจรับผลิตอาหารเสริม สุขภาพ และความงามครบวงจร จังหวัดสมุทรสาครโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านมีการบริหารงาน ระดับมาก คือ หลักฉันทะรักในงานที่ทำ 2) ผลการเปรียบเทียบ จำแนกตามขนาดกำลังการผลิตธุรกิจรับผลิตอาหารเสริม โดยภาพรวมอยู่ในและรายด้านมีการปฏิบัติไม่แตกต่างกัน 3) ด้านการบริหารงานตามหลักอิทธิบาท 4 ด้านฉันทะ ผู้บริหารธุรกิจ มีการประชุมวางแผนในการจัดอบรมเกี่ยวกับพัฒนาทักษะการทำงานของพนักงานอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารธุรกิจในจังหวัดสมุทรสาครมีการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานอย่างครบวงจร ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการบริการที่ยอดเยี่ยม โดยการมุ่งเน้นในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อให้บริษัทสามารถแข่งขันและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง</p> ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 213 226 ผลกระทบของสมรรถนะทางวิชาชีพบัญชีและการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3760 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของสมรรถนะทางวิชาชีพบัญชีที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษารวมทั้งสิ้น 400 ข้อมูล โดยใช้สถิติใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณในการทดสอบสมมติฐาน ผลจากการศึกษา ผลกระทบของสมรรถนะทางวิชาชีพบัญชีและการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงินของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า สมรรถนะทางวิชาชีพบัญชีในด้านความรู้ความสามารถในวิชาชีพ ด้านทักษะในการใช้เทคโนโลยี ด้านทักษะในการทําและนําเสนอข้อมูลทางบัญชีเพื่อใช้ใน การตัดสินใจ และด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการสื่อสาร และการควบคุมภายในด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม ด้านการประเมินความเสี่ยง ด้านกิจกรรมการควบคุม ด้านสารสนเทศและการสื่อสาร และด้าน การติดตามและประเมินผล ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพรายงานทางการเงิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า หากผู้ทำบัญชีมีการพัฒนาสมรรถนะทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งองค์กรมีการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้รายงานทางการเงินมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้ผู้ใช้รายงานทางการเงินทั้งภายในและภายนอกสามารถนำข้อมูลในรายงานทางการเงินไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> พุทธิดา สุริยะ ประเวศ เพ็ญวุฒิกุล ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 227 237 การพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อของเด็กและเยาวชนด้วยกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3773 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์และถอดบทเรียนการจัดกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์ 2) เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ชนบท จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสนทนากลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่ม ได้แก่ 1) เด็กนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนบ้านนาบอน ตำบล นาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 50 คน 2) นักศึกษาแกนนำมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ที่จัดกระบวนการ จำนวน 20 คน จากการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชน ได้แก่ 1) ปัจจัยภายใน ประกอบด้วย (1) ความรู้ความเข้าใจของแกนนำ (2) การมีจิตอาสา (3) การออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กำลังศึกษา (4) การอบรมแกนนำก่อนทำกิจกรรมในพื้นที่ (5) การมีระบบพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา (6) การวางแผนงาน 2) ปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย (1) ชุมชนให้ความร่วมมือและมีความเข้มแข็ง (2) กลุ่มเป้าหมายมีความกระตือรือร้น (3) มีหน่วยงานภาคีเครือข่ายสนับสนุน (4) มีสถาบันการศึกษาให้การสนับสนุน สำหรับบทเรียนการจัดกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์ พบบทเรียนที่สำคัญ ดังนี้ 1) เกิดเครื่องมือหรือกระบวนการสื่อสารสร้างสรรค์เพื่อจัดกระบวนการการรู้เท่าทันสื่อในเด็กและเยาวชน 2) เกิดการพัฒนาทักษะการทำงานของเด็กและเยาวชน 3) เกิดการพัฒนาทักษะและความรู้การรู้เท่าทันสื่อของเด็กและเยาวชน 4) เกิดทักษะการผลิตสื่อสร้างสรรค์เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ</p> ธีรนันท์ ขันตี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 238 253 การศึกษาการรับรู้และทัศนคติของลูกค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระของธนาคารแห่งหนึ่ง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3648 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ และทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ 2) เพื่อศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ และ 3) เพื่อศึกษาทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ งานวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณที่ดำเนินการแจกแบบสอบถามกับกลุ่มลูกหนี้ค้างชำระของธนาคารแห่งหนึ่ง จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ และการวิจัยเชิงคุณภาพที่ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับ ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมมาตรการแก้ไขหนี้ค้างชำระ จำนวน 10 ราย ผลการศึกษา พบว่า 1) ลูกหนี้ค้างชำระส่วนใหญ่มีการรับรู้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระและทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ ในระดับมาก 2) การรับรู้มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ มีระดับอิทธิพล 39.20 ที่ระดับนัยสำคัญ .05 และ 3) ทัศนคติทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านช่องทางจัดจำหน่าย และด้านกระบวนการบริการ ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ มีระดับอิทธิพล 48.00 ที่ระดับนัยสำคัญ .05 </p> อัครชน โปร่งคำ สวรส ศรีสุตโต Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 254 264 การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพและปริมณฑล https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3702 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้ทำบัญชี ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างมีหน้าที่ทำบัญชีให้กับนิติบุคคล ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษารวมทั้งสิ้น 395 ข้อมูล ทำการวิเคราะห์ผลทางสถิติ โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ เพื่อทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ .01 และ .05 ผลจากการศึกษาการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้ทำบัญชี ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล พบว่าประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้ทำบัญชี ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1) ทักษะของผู้ทำบัญชีในองค์กร <br />และการสนับสนุนจากผู้บริหาร และความสะดวกในการใช้งาน ส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีของผู้ทำบัญชี ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล ด้านความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะของผู้ทำบัญชีในองค์กร และความสะดวกในการใช้งาน ส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีของผู้ทำบัญชี ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล ด้านความเป็นปัจจุบันและทันต่อเวลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ .01 ตามลำดับ</p> นภาพิณ ผิวทอง มัตธิมา กรงเต้น Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 265 277 การบริหารจัดการองค์กรการขนส่งทางบกในประเทศไทย: พัฒนาการ โอกาส และความท้าทาย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3948 <p>การบริหารองค์กรการขนส่งทางบกในประเทศไทยภายใต้สังกัดของกระทรวงคมนาคม มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แบ่งการบริหารงานออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) หน่วยงานขนส่งภาครัฐ และ 2) หน่วยงานขนส่งภาครัฐวิสาหกิจ โดยแต่ละหน่วยงานมีบทบาทเฉพาะในการกำกับดูแลและสนับสนุนการดำเนินงานการขนส่งทางบก วัตถุประสงค์ของบทความวิชาการนี้ คือ นำเสนอการวิเคราะห์โครงสร้างและแนวทางการบริหารองค์กรการขนส่งทางบกในประเทศไทย โดยใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรขนส่งทางบก จากการวิเคราะห์พบว่าการบริหารงานประกอบด้วยหัวหน้างานทำหน้าที่ในการกำกับงานขององค์กร และแบ่งรองหรือฝ่ายอื่น ๆ ในการสนับสนุนการบริหาร รวมถึงคณะกรรมตรวจสอบภายใน เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต นอกจากการบริหารงานดังกล่าวแล้วองค์กรขนส่งทางบกยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน บริหารจัดการด้านกฎระเบียบ ส่งเสริมความปลอดภัยทางท้องถนน ส่งเสริมการค้าและการส่งออก การจัดทำแผนพัฒนาการขนส่งและการวางแผนยุทธศาสตร์ในระยะยาว ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และประชาชน ดังนั้นบทความนี้ได้ทำการวิเคราะห์และสรุปการบริหารองค์กรการขนส่งทางบกในประเทศไทย ซึ่งแต่ละองค์กรมีบทบาทและหน้าที่เป็นของตนเองอย่างมีเป้าหมาย</p> พิศณี พรหมเทพ สายป่าน จักษุจินดา ชาติชัย อุดมกิจมงคล Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2025-03-29 2025-03-29 5 1 278 292 อิทธิพลของความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพใน การปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีภาษีอากรในประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3667 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความรู้ในการปฏิบัติงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีภาษีอากรในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาทักษะในการปฏิบัติงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีภาษีอากรในประเทศไทย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditors: TA) ในประเทศไทย จำนวน 367 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ความรู้ในการปฏิบัติงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความถูกต้อง ด้านความทันเวลา ด้านความพึงพอใจของผู้รับบริการด้านความประหยัด และทักษะในการปฏิบัติงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความถูกต้อง ด้านความทันเวลา ด้านความพึงพอใจของผู้รับบริการและด้านความประหยัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้สอบบัญชีภาษีอากรควรมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานสอบบัญชีเพื่อสามารถปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้มากยิ่งขึ้น ทันต่อเหตุการณ์และปฏิบัติงานสอบได้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด</p> พิชชาพร พรหมประเทศ จิรพงษ์ จันทร์งาม Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2025-03-29 2025-03-29 5 1 293 306 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอนในศตวรรษที่ 21 และทักษะวิชาชีพบัญชีของครูบัญชีอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3723 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีและจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอนของครูบัญชีในศตวรรษที่ 21 และทักษะวิชาชีพบัญชี ของครูบัญชีอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูบัญชีสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำวน 118 คนด้วยวิธีการคำนวณจากสูตรของ Krejcie &amp; Morgan สถิติที่ใช้ในงานวิจัยคือ สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า กรอบความรู้วิชาชีพบัญชีด้านความรู้ด้านองค์กรธุรกิจและด้านความรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอนของครูบัญชีในศตวรรษที่ 21 ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 และ .01 ตามลำดับ กรอบความรู้วิชาชีพบัญชีด้านความรู้เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีและด้านความรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลเชิงบวกต่อทักษะวิชาชีพบัญชี ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 และ .01 ตามลำดับ จรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีด้านความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้ ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอนของครูบัญชีในศตวรรษที่ 21 ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 และจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและการรักษาความลับ ส่งผลเชิงบวกต่อทักษะวิชาชีพบัญชี ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01</p> สุนิสา แก้วศรีสุข พรทิวา แสงเขียว Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2025-03-29 2025-03-29 5 1 307 319 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้างานกับประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการบริษัทเอกชน กลุ่มเจเนอเรชันวาย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4015 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน 2) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ พนักงานระดับปฏิบัติการบริษัทเอกชนกลุ่มเจเนอเรชันวาย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) และการวิเคราะห์พหุคูณ (multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการบริษัทเอกชนกลุ่มเจเนอเรชันวาย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า อายุและระดับการศึกษามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิจัยครั้งนี้ สามารถเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพส่วนบุคคลของพนักงานระดับปฏิบัติการ รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อองค์กรและบริษัทมากที่สุด</p> มลิวัลย์ เจริญชัย อาภรณีน์ อินฟ้าแสง ยุทธนาท บุณยะชัย Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 2025-03-29 2025-03-29 5 1 320 330 ความรู้ความเข้าใจทางด้านภาษีและระบบการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตที่ส่งผลต่อการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีเงินได้เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3695 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจทางด้านภาษีที่ส่งผลต่อการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีเงินได้เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเพื่อศึกษาระบบการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตที่ส่งผลต่อการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีเงินได้เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 400 คน และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ความเข้าใจทางด้านภาษีส่งผลเชิงบวกต่อการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของผู้มีเงินได้เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตัวแปรอิสระทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับประเภทเงินได้ ความรู้เกี่ยวกับเงินได้ที่ได้รับยกเว้น ความรู้เกี่ยวกับรายการลดหย่อน ด้านการยื่นแบบทันเวลาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ระบบการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตที่ส่งผลต่อการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของผู้มีเงินได้เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตัวแปรอิสระทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ คุณภาพของระบบและบริการ คุณภาพของข้อมูลและความถูกต้อง การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย การรับรู้ประโยชน์ของระบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสรุปได้ว่า หากผู้มีเงินได้ที่ถึงเกณฑ์ที่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีความรู้ความเข้าใจทางด้านภาษีเป็นอย่างดี รวมถึงมีการยื่นแบบในระบบการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตจะส่งผลให้การยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> เอื้อมพร ศิริมา ดารณี เอื้อชนะจิต ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 331 345 ปัจจัยความต้องการของมนุษย์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัย ผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเรือนจำกลางนครพนม https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3665 <p>การพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดียาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม จะประสบความสำเร็จ และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ปัจจัยความต้องการของมนุษย์ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม 2) ศึกษาระดับปัจจัยความต้องการของมนุษย์ของผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเรือนจำกลางนครพนม 3) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยความต้องการของมนุษย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม 4) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ต้องขังเด็ดขาดคดียาเสพติดเรือนจำกลางนครพนม จำนวน 361 คนใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยความต้องการของมนุษย์ของผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเรือนจำกลางนครพนมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเรือนจำกลางนครพนม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยความต้องการของมนุษย์ด้านความต้องการความสำเร็จ ด้านความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย ด้านความต้องการความมั่นคงและปลอดภัยและด้านความต้องการการยอมรับนับถือ มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดียาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสามารถร่วมกันทำนายระดับประสิทธิภาพการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดียาเสพติด เรือนจำกลางนครพนม ได้ร้อยละ 54.90 ยกเว้นปัจจัยด้านความต้องการความรัก และ 4) แนวทางในการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเรือนจำกลางนครพนม ได้แก่ ควรมีการปฐมนิเทศหรือโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขังทุกรายที่จะได้รับการปล่อยตัวกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน โดยเน้นการมองเห็นคุณค่าของตนเอง และความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและสังคม เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกา ยจิตใจ และสังคมก่อนกลับไปใช้ชีวิตในสังคม ควรมีการกำหนดแผนการจัดอบรมหลักสูตรโดยคำนึงถึงสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ต้องขังเป็นหลักสำคัญ ควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญหรือสหวิชาชีพในด้านต่าง ๆ เข้ามาเป็นวิทยากรให้ความรู้หรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ต้องขังให้ตรงกับสภาพปัญหาและความต้องการ</p> สมภพ ขยัน สามารถ อัยกร ชาติชัย อุดมกิจมงคล Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 346 361 ผลกระทบของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และการได้รับคัดเลือกโดยองค์กรชั้นนำ ที่มีผลต่อการดำเนินงานด้านการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3740 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และการได้รับคัดเลือกโดยองค์กรชั้นนำที่มีผลต่อการดำเนินงานด้านการเงิน ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินที่มีข้อมูลครบถ้วน จำนวน 81 บริษัท รวม 243 กลุ่มตัวอย่าง ช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปร และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า ผลกระทบของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ได้แก่ ผลประเมินการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลเชิงลบต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่ออัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และผลประเมินการดำเนินงานด้านสังคม ส่งผลเชิงลบต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่ออัตราส่วนกำไรสุทธิและอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม ในขณะที่พบว่า การได้รับคัดเลือกโดยองค์กรชั้นนำ ส่งผลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การได้รับการจัดอันดับใน ESG100 การได้รับคัดเลือกให้มีรายชื่ออยู่ใน Thailand sustainability index และการได้รับคัดเลือกให้มีรายชื่ออยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ โดยผลกระทบของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ได้แก่ ประเมินการดำเนินงานด้านบรรษัทภิบาล และการได้รับคัดเลือกโดยองค์กรชั้นนำ ได้แก่ การได้รับการจัดอันดับการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนนั้นไม่มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานด้านการเงิน</p> อริสา นพวงศ์ ณ อยุธยา จิรพงษ์ จันทร์งาม ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 362 376 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนหนองหานวิทยา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3731 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนหนองหานวิทยา ตัวอย่างผู้ให้ข้อมูล จำนวน 97 คน สุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้โปรแกรม google form ทางอีเมล์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนหนองหานวิทยา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก การกระจายตัวน้อย เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง รองลงมา คือ มนุษยสัมพันธ์ และสมรรถนะผู้นำ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้นำมุ่งอนาคต 2) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัล ดังนี้ การกำหนดวิสัยทัศน์และนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชัดเจน การจัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและอุปกรณ์ทันสมัย การนำระบบบริหารจัดการการเรียนการสอนและเครื่องมือออนไลน์มาใช้ การติดตามและประเมินการใช้งานโครงสร้างพื้นฐาน ICT อย่างสม่ำเสมอ การดูแลความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรดิจิทัลของนักเรียน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้เพียงพอต่อการเรียนรู้แบบดิจิทัล</p> กรวิภา ใจตรง กิจพิณิฐ อุสาโห สุรางคณา มัณยานนท์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 377 387 ความสัมพันธ์ของการกำกับดูแลกิจการและการบริหารสินเชื่อที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจธนาคารที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3758 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการและการบริหารสินเชื่อที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจากธุรกิจธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงปี พ.ศ. 2562-2566 ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษารวมทั้งสิ้น 60 ข้อมูล ทำการวิเคราะห์ผลทางสถิติ โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการและการบริหารสินเชื่อที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า การกำกับดูแลกิจการด้านขนาดของคณะกรรมการบริษัท (BSIZE) ส่งผลทางบวกต่ออัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CI) และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านสัดส่วนของคณะกรรมการอิสระ (IND) ส่งผลทางบวกต่ออัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CI) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านการควบรวมตำแหน่งคณะกรรมการบริหาร (DUAL) ส่งผลทางบวกต่ออัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CI) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการ (CGR) ส่งผลทางบวกต่อ อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM)และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพบว่าอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพส่งผลทางลบต่อความสามารถในการทำไรที่วัดด้วยอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CI) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> กันตพร สันตธรรม สุรีย์ โบษกรนัฏ ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 388 401 ประเภทของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้และการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความสำเร็จของระบบสารสนเทศ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ผ่านระบบออนไลน์ในเขตภาคใต้ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3756 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประเภทของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ประกอบด้วย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล 2) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี ประกอบด้วย ด้านความคาดหวังต่อการปฏิบัติงาน ด้านความคาดหวังในความพยายาม ด้านอิทธิพลของสังคม ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในระบบ และด้านแรงจูงใจในการใช้งาน ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของระบบสารสนเทศ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ผ่านระบบออนไลน์ในเขตภาคใต้ ประกอบด้วย ด้านคุณภาพของระบบสารสนเทศ ด้านคุณภาพของการบริการ ด้านความพึงพอใจ และด้านคุณประโยชน์ของระบบ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้จากการสุ่มจากผู้ที่เคยยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้ นิติบุคคล ผ่านระบบออนไลน์ในเขตภาคใต้ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ แบ่งประชากรออกเป็นชั้นภูมิตามประเภทของภาษี (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) และสุ่มตัวอย่างจากแต่ละชั้นภูมิตามสัดส่วนที่เหมาะสม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเภทของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า ภาพรวมภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีค่าเฉลี่ยมากที่สุด มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ภาพรวมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในระบบมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จของระบบสารสนเทศ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ด้านคุณภาพของระบบสารสนเทศมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด</p> วรรณทนีย์ ดอนกลาย จิรพงษ์ จันทร์งาม ถิรวุฒิ ยังสุข Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/ 2025-03-29 2025-03-29 5 1 402 410