วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU
<p><strong>ประกาศ เรื่อง ผลการประเมินคุณภาพวารสาร TCI ฐาน 2 </strong></p> <p>เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index – TCI) ได้ดำเนินการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐาน TCI รอบที่ 5 (พ.ศ. 2568-2572) และผลการประเมินปรากฏว่า วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ไ<strong>ด้รับการรับรองเป็น วารสารกลุ่มที่ 2</strong> โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572</p> <p><br />ด้วยเหตุนี้ วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จึงขอเชิญชวนนักวิชาการ นักศึกษา นักวิจัย คณาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้สนใจทั่วไป ส่งบทความวิจัยและบทความวิชาการเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการและขอรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารของเราได้อย่างต่อเนื่อง</p> <p><br />ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์การส่งบทความ กำหนดการรับบทความ และกระบวนการพิจารณาได้ที่ เว็บไซต์ของวารสาร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p> <p>4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</p> <p>สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร<br />โทรศัพท์: 061-741 6565, 094 652 4145<br />อีเมล: jmssnru@gmail.com<br />เว็บไซต์: https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU</p>
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
th-TH
วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
2774-0390
<p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นทัศนะ ลิขสิทธิ์ และความรับผิดชอบของผู้เขียนเจ้าของผลงาน</p>
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองของโมเดลภาวะผู้นำตามหลัก พรหมวิหาร 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4435
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 2) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีของโมเดลภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 502 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .969 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองของโมเดลภาวะผู้นำตามหลัก พรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 มี 4 องค์ประกอบ 12 ตัวบ่งชี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.02-4.69 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .56 - .92 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .291 - .756 2) ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีและความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างหรือทฤษฎีของโมเดลภาวะผู้นำตามหลักพรหมวิหาร 4 พบว่า ค่าน้ำหนักขององค์ประกอบทุกตัวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ 2.1) ภาวะผู้นำด้านกรุณา 2.2) ภาวะผู้นำด้านเมตตา 2.3) ภาวะผู้นำด้านมุทิตา และ 2.4) ภาวะผู้นำด้านอุเบกขา มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ (λ) อยู่ระหว่าง .577-.734 มีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง หรือความเที่ยงตรงตามทฤษฎี เป็นไปตามเกณฑ์ มีความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้าง อยู่ระหว่าง .412 - .890 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์</p>
ชญานิศ นามไพร
สุเทพ เมยไธสง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
420
431
-
รูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4968
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) พัฒนาคู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และ 3) ทดลองใช้คู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตร ตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประชากรเป็นบุคลากรสังกัดคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จำนวน 98 คน คัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเป็นผู้บริหาร อาจารย์ประจำหลักสูตร และเจ้าหน้าที่งานประกันคุณภาพหลักสูตร สังกัดคณะครุศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 53 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ รูปแบบและคู่มือของรูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร แบบสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบและคู่มือของรูปแบบ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามคู่มือของรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพการศึกษาของหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การวางแผน (Plan) ที่มีกิจกรรมการกำหนดนโยบายและการมอบหมายความรับผิดชอบ ส่วนที่ 2 การดำเนินงาน (Do) ที่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบ กำหนดหลักฐานอ้างอิง และการจัดอบรมการเขียน SAR ส่วนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบตรวจสอบ SAR ก่อนส่งให้กรรมการประเมิน และ ส่วนที่ 4 การปรับปรุง (Act) จัดอบรมการจัดทำแผนพัฒนาหลักสูตรและกำหนดผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องเข้ารับการอบรม โดยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการพัฒนาคู่มือของรูปแบบ ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 รายละเอียดของรูปแบบ ส่วนที่ 2 คำอธิบายเกณฑ์และวิธีการเขียน SAR Criterion 1 - Criterion 8 พร้อมตัวอย่าง ส่วนที่ 3 แนวทางการตรวจประเมินหลักสูตร ตัวอย่างรายงาน Desktop Assessments และ Feedback Report และส่วนที่ 4 ตัวอย่างการจัดทำแผนพัฒนาหลักสูตร และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือของรูปแบบ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ผลการทดลองใช้คู่มือของรูปแบบกับกลุ่มตัวอย่าง พบว่า โดยรวมกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
วรปภา อารีราษฎร์
กฤตภาส วงค์มา
วสันต์ ศรีหิรัญ
ณฤดี เนตรโสภา
มนต์ชัย เทียนทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
432
446
-
การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4063
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ศึกษาหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารหัวหน้าฝ่ายและครูในสถานศึกษา รวมจำนวนทั้งสิ้น 412 คน โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคตัวแปรด้านบริหารตามหลักธรรมาภิบาล เท่ากับ .97 และตัวแปรด้านการบริหารงานบุคคล เท่ากับ .93 สถิติที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การบริหารตามหลักธรรมา ภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ด้านหลักนิติธรรมด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใสด้านหลักการมีส่วนร่วม ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 สามารถทำนายการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถาน ได้ร้อยละ 54.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ทวีวิทย์ ศรีธรรม
ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง
สมชัย พุทธา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
447
460
-
แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4362
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 317 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ .67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นสภาพปัจจุบันเท่ากับ .97 และสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประเมินความต้องการจำเป็นด้วยค่า PNI <sub>Modified</sub> และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน ของแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการวางแผนกำลังคนและกำหนดตำแหน่ง 2) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 มีดังนี้ 2.1) ด้านการพัฒนาบุคลากร ควรจัดอบรม สัมมนา จัดทำแผนพัฒนาบุคคลากรให้ชัดเจน 2.2) ด้านการวางแผนกำลังคนและกำหนดตำแหน่ง ควรวิเคราะห์ จัดทำข้อมูลอย่างเป็นระบบ 2.3) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ควรมีการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล ติดตามผลเป็นระยะ 2.4) ด้านการธำรงรักษาบุคคลากร ควรมีข้อตกลง ให้ความเป็นธรรมการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน 2.5) ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชี้วัดและวิธีการปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น</p>
ยศกร ภักดีสุวรรณ
สุเทพ เมยไธสง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
461
474
-
การบริหารจัดการหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4989
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) ศึกษาประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีส่วนร่วมในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ อาจารย์ประจำหลักสูตร นักศึกษา และ ผู้ใช้บัณฑิต จำนวน 344 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และ แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารหลักสูตร โดยแบบสอบถามแต่ละชุดมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ และ ค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการบริหารจัดการหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มีองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ 1.1) นโยบาย หลักการ และแนวคิด การบริหารหลักสูตรที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล 1.2) การบริหารจัดการ ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า กระบวนการบริหารตามวงจร PDCA สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ 1.3) ประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตร และ 1.4) แผนการจัดการศึกษาตลอดหลักสูตร 2) การศึกษาประสิทธิผลของการบริหารหลักสูตร พบว่า หลักสูตรสามารถรับนักศึกษาเข้าเรียนได้ตามแผนที่กำหนด ร้อยละของการสำเร็จการศึกษา อยู่ระหว่าง 85.71-94.29 ร้อยละของการออกกลางคันอยู่ระหว่าง 5.71-16.67 และ ภาวะการมีงานทำของนักศึกษา อยู่ที่ร้อยละ 100.00 และ 3) ความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการบริหารหลักสูตร พบว่า กลุ่มอาจารย์โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก กลุ่มผู้ใช้บัณฑิตโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และกลุ่มนักศึกษาโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p>
ปิยะนันท์ ปลื้มโชค
วสันต์ ศรีหิรัญ
ทศพล สิทธิ
ณฤดี เนตรโสภา
มนต์ชัย เทียนทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
475
489
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มโรงเรียนอำเภอประจักษ์ศิลปาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4000
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ประชากรที่ศึกษา คือ โรงเรียน จำนวน 14 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน จำนวน 123 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 98 ชุด คิดเป็นร้อยละ 79.67 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีการกระจายตัวน้อย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม รองลงมาคือ ด้านการเป็นผู้นำด้านวิสัยทัศน์ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ 2) แนวทางพัฒนาผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกลุ่มโรงเรียนอำเภอประจักษ์ศิลปาคม เรียงลำดับจากค่าความถี่มากไปหาน้อย ดังนี้ การบริหารสถานศึกษาควรมีทักษะในการบริหารจัดการสถานศึกษาในการกำหนดวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่มีความชัดเจน กว้างไกล และสร้างสรรค์เพื่อนำพาสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ต้องมอบหมายงานตามความถนัดและความสามารถของบุคลากร มีความยุติธรรม มอบหมายและกระจายงานให้บุคลากรอย่างเท่าเทียมกัน ควรสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานโดยกล่าวคำชมหรือให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวกและมีความเฉลียวฉลาด สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และควรสนับสนุน และส่งเสริมให้บุคลากรใน สถานศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในการปฏิบัติงาน</p>
พิมพ์ชนก ประชาชู
ชารี มณีศรี
สมหมาย สร้อยนาคพงษ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
490
502
-
การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่มีต่อการรับรู้และการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย ในประเทศไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3997
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตลาดแบบบูรณาการที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย 2) เพื่อศึกษาการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย และ 3) เพื่อศึกษาการตลาดแบบบูรณาการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย ผู้วิจัยออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ มีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ คนเจนเนอเรชันวายที่เคยใช้บริการบาร์โฮสต์ จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) การตลาดแบบบออฟไลน์และแบบออนไลน์มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย 2) การรับรู้คุณค่าบาร์โฮสต์มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย และ 3) การตลาดแบบบออฟไลน์และแบบออนไลน์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการบาร์โฮสต์ของกลุ่มเจนเนอเรชันวาย</p>
ภัคพล รถเพ็ชร
ศักดิ์สุริยา ไตรยราช
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
503
514
-
การแบ่งกลุ่มลูกค้าเฟซบุ๊กแฟนเพจตามคุณลักษณะเด่นภายใต้กลยุทธ์ STP
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4444
<p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ตามคุณลักษณะเด่นภายใต้กลยุทธ์ STP โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบเคมีนอัลกอริทึมเคโพรโตไทป์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กแฟนเพจจำนวน 389 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า .5 ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหารายข้อเท่ากับ 1.00 ทุกข้อคำถามและมีความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่าครอนบาคเท่ากับ .901 ทำการเก็บข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม – เดือนตุลาคม 2565 ผลการศึกษา พบว่า ผลการแบ่งกลุ่มลูกค้า เฟซบุ๊กแฟนเพจ ตามคุณลักษณะเด่นได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์วัยรุ่นซื้อน้อยแต่พอใจง่าย (ร้อยละ 62.98) กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์ที่มีความคาดหวังสูง (ร้อยละ 35.22) กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มนักช้อปออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และมีกำลังซื้อสูง (ร้อยละ 1.80)</p>
นาฏลดา เรืองชาญ
ชนัญกาญจน์ แสงประสาน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
515
528
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน กับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3734
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การ การรับรู้บรรยากาศองค์การ และคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 2) ศึกษาเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์การ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน กับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 103 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการรับรู้บรรยากาศองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์การ โดยรวมอยู่ในระดับมากทั้งหมด 2) ผลการเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุงานที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนเพศที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกัน 3) การรับรู้บรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .677 4) คุณภาพชีวิตในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .640</p>
นภาวรรณ พิมสวน
ปรัชญา ปิยะมโนธรรม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
529
543
-
บทบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4064
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา 3) สร้างสมการพยากรณ์บทบาทของผู้บริหารที่สามารถทำนายการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา รวมจำนวนทั้งสิ้น 428 คน โดยการเปิดตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ครอนบาคของตัวแปรด้านบทบาทของผู้บริหาร เท่ากับ .87 และตัวแปรด้านการบริหารงานงบประมาณ เท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหาร โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงบประมาณของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) บทบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา พบว่า ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ และด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ส่งผลต่อการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 สามารถพยากรณ์ทำนายการบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษา ประสิทธิภาพการทำนายร้อยละ 62.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
จินตนา สุนาวงศ์
ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง
สมชัย พุทธา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-23
2025-05-23
5 2
544
557
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ: กรณีศึกษาข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3775
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน จำนวน 135 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป แบบวัดพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเอง และแบบวัดสภาพแวดล้อมด้านจิตใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐานค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลวิจัยพบว่า 1) ครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสานมีพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเองกับสภาพแวดล้อมด้านจิตใจโดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) การรับรู้ความสามารถของตนเอง สภาพแวดล้อมด้านจิตใจ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การที่มุ่งต่อองค์การของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในเขตคลองสาน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .777 และ .746</p>
ณัฐพัชร เอี่ยมสอาดวรกร
รังสิมา หอมเศรษฐี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
558
572
-
การจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3894
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้และเปรียบเทียบการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 และ 2) ศึกษาความต้องการในการพัฒนาการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 136 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ จำนวน 272 คน รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแปรปรวนทางเดียว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 ที่มีขนาดต่างกัน มีการปฏิบัติการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผู้บริหารสถานศึกษามีความต้องการพัฒนาการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในด้าน 2.1) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้ให้เหมาะสม 2.2) พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบริหารการจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ในสถานศึกษาให้เป็นโปรแกรมสำหรับจัดการข้อมูลพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้วางแผนและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ 2.3) พัฒนาการจัดทำสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2.4) พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้เกี่ยวกับ การจัดการสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้ 2.5) ส่งเสริมการจัดเครือข่ายบุคลากร ผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ 2.6) พัฒนาเว็บไซต์ของสถานศึกษา เพื่อการประชาสัมพันธ์ภารกิจและกิจกรรมของสถานศึกษา 2.7) ส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ รวมทั้งให้มีการรายงานผลเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดและผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างต่อเนื่อง</p>
อรวรรณ ไอยราภิวัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
573
586
-
การบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3989
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดร<br />พิชัยรักษ์พิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสัมภาษณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 90 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารงานทั่วไปของโรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์พิทยา ภาพรวมอยู่ในระดับมากมีการกระจายตัวน้อย ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ งานกิจกรรมศาสนาและชุมชน รองลงมา คือ งานระบบเครือข่ายสารสนเทศ และ งานยานพาหนะ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ 2) แนวทางพัฒนาการบริหารงานทั่วไป ได้แก่ ผู้บริหารควรจัดทำแผนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ที่ชัดเจนยั่งยืน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียน ครู และชุมชน สร้างกลไกติดตามประเมินผล กำหนดตัวชี้วัด เป้าหมาย นำผลปรับปรุงแผน ผนวกแนวคิดเข้ากับแผนงาน รับฟังความคิดเห็น สำรวจประเมินสภาพปัจจุบัน วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี จัดทำคู่มือ แนวปฏิบัติจัดอบรม ติดตามปรับปรุงมาตรฐาน จัดทำหลักสูตรอบรม ฝึกปฏิบัติจริง และสร้างแรงจูงใจพัฒนาตนเองแก่เจ้าหน้าที่</p>
พิกุล โสนะโชติ
กิจพิณิฐ อุสาโห
สุรางคณา มัณยานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
587
599
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3791
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประชากร คือ ผู้ที่มีความสนใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตามสะดวก ใช้สถิติพรรณนาได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ ปัจจัย การยอมรับเทคโนโลยี อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .78 รองลงมาคือ ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .55 ถัดมาคือ ปัจจัยด้านทัศคติ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .68 ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.26 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .81 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม (β = 0.625) และปัจจัยด้านทัศนคติ (β = 0.175) และสามารถร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ร้อยละ 49.5 สร้างสมการทำนายในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Z = .625 (ปัจจัยการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม) +.175 (ปัจจัยด้านทัศนคติ)</p>
รุจิกาญจน์ สานนท์
ภูริณัฐ ยมกนิษฐ์
พิมพา หิรัญกิตติ
สินิทรา สุขสวัสดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
600
613
-
การบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3941
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี 2) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ใช้รูปแบบการวิจัยผสมผสานวิธี (mixed method research) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงที่ .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .68 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิต ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการดำเนินงานกิจการโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเครือข่ายอำเภอนายูง-น้ำโสม คือ ภารกิจการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีการจัดทำแผนงาน/โครงการอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินงานป้องกันหรือแก้ไขปญหานักเรียนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มมีปัญหาและภารกิจการประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียน ผู้บริหาร ครู และนักเรียนควรมีส่วนร่วมในการประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียนทุกกิจกรรมและรายงานผลการประเมินให้ผู้บริหารสถานศึกษาทราบและนำผลไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานกิจการนักเรียนต่อไป</p>
ปพัฒน์กรณ์ แดนโคตผม
กิจพิณิฐ อุสาโห
สุรางคณา มัณยานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
614
627
-
ส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง ในจังหวัดนนทบุรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4093
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี 2) ระดับความคิดเห็นของกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี 3) เปรียบเทียบความคิดเห็นของส่วนประสมทางการตลาดของการใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี เมื่อพิจารณาตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) เปรียบเทียบความคิดเห็นของกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง เมื่อพิจารณาตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 5) ความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี โดยใช้แบบสอบถามเก็บกลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยางในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการสนามฟุตซอลพื้นยาง ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการเปรียบเทียบส่วนประสมทางการตลาด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า มีความแตกต่างกันในด้านอายุและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 4) ผลการเปรียบเทียบกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล มีความแตกต่างกันในด้านอายุและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 5) ภาพรวมของส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับกระบวนการตัดสินใจใช้สนามฟุตซอลพื้นยาง อยู่ในระดับสูงมาก</p>
มนต์มนัส เจริญอินทร์
อาภรณีน์ อินฟ้าแสง
ยุทธนาท บุณยะชัย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
628
642
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3830
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 291 คน โดยกำหนดขนาดจากตารางเครซี่และมอร์แกน และใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ซึ่งได้รับการตอบกลับจำนวน 283 คน คิดเป็นร้อยละ 97.25 มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก มีด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล รองลงมาคือ ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการจินตนาการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 2) การบริหารกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา โดยภาพรวมมีค่าความสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
เขมกร ช้อยบัวงาม
ศุภชัย ทวี
ทีปพิพัฒน์ สันตะวัน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
643
656
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและแนวทางการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3813
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 2) เพื่อศึกษาการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 3) เพื่อศึกษาความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี 4) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างสุ่มจากผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์เส้นหมี่ตรา AB ในจังหวัดลพบุรี จำนวน 385 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากผลการวิจัย 1) ความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี พบว่า ภาพรวมความพึงพอใจในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านราคา ตามลำดับ 2) การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณษรายด้าน พบว่า ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยเงื่อนไขและสัญญา มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยวิธีให้ความรู้เฉพาะด้าน และด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการให้รางวัล ตามลำดับ 3) ความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านทัศนคติ มีความภักดีอยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านพฤติกรรม 4) การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ และการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ด้านการสร้างความสัมพันธ์ด้วยเงื่อนไขและสัญญา การสร้างความสัมพันธ์ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการให้ความรู้เฉพาะด้าน มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าเส้นหมี่ตรา AB จังหวัดลพบุรี อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p>
ฐิติพร จึงธีรพานิช
ศิริรัตน์ รัตนพิทักษ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
657
668
-
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3831
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 363 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัล ทักษะวิชาชีพบัญชี และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ภาพรวม อยู่ในระดับมาก และคุณลักษณะนักบัญชียุคดิจิทัลและทักษะวิชาชีพบัญชีมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่บัญชีกรมการเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
สาวิตรี เวียงคำ
พรทิวา แสงเขียว
ถิรวุฒิ ยังสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
669
683
-
ผลกระทบของศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่มีต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์กองทัพบก
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3887
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลกระทบของศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่มีต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์กองทัพบก โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารของกองทัพบก และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 173 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารของกองทัพบก มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์โดยรวม และรายด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนงบประมาณ ด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการบริหารสินทรัพย์ ด้านการบริหารทางการเงินและการควบคุมงบประมาณ และด้านการบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบภายใน อยู่ในระดับมาก และผู้บริหารของกองทัพบก ที่มีอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งผู้บริหารด้านการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน แตกต่างกัน มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์โดยรวม และรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ศักยภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานมีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพบก ข้อเสนอแนะที่ได้คือ ผู้บริหารของกองทัพบกสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา บริหาร และวางแผนศักยภาพ การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพบก</p>
พงษ์ศวัฒน์ ทัศสมบัติ
สุวรรณ หวังเจริญเดช
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-05-29
2025-05-29
5 2
684
698
-
คุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติที่ส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3892
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติกับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง และ 3) ศึกษาคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติที่ส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหารและครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1, 2, 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง ลำพูน และสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครลำปาง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ซึ่งมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารและครูมีความต้องการคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง พบว่าโดยรวมและรายด้านทุกด้าน อยู่ในระดับมาก 2) คุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติกับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกทุกด้านอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า 3 ด้านแรกที่มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงสุด ได้แก่ 2.1) ด้านทักษะทางปัญญา 2.2) ด้านความรู้ และ 2.3) ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผู้มีส่วนได้เสียมีการรับรู้ถึงคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านคุณธรรมจริยธรรม และด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ มีผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง ร้อยละ 90.80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์
ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง
มณูญ เพชรมีแก้ว
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
699
712
-
รูปแบบการจัดการชุมชนคุณธรรมขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรม บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3620
<p>ชุมชนคุณธรรมขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบบ้านท่าเรือ เป็นชุมชนที่รับการส่งเสริมจนเกิดเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ ที่เข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ได้รับความร่วมมือจากผู้นำพลัง “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของชุมชนคุณธรรมที่สำคัญ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในชุมชนที่ยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรมบ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นําชุมชน วัด โรงเรียน ราชการ และการมีส่วนร่วม ในการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรม บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะแนวทาง ในการดำเนินงานการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรมบ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ การเก็บรวบรวมข้อมูลในชุมชนคุณธรรมต้นแบบ จำนวน 1 ชุมชน บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (structured interview) ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน พระสงฆ์ ครู ข้าราชการสังกัดสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการชุมชนคุณธรรมขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรม บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน และหน่วยงานภาครัฐ (บวร) ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แนวทางดำเนินการ คือ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการบูรณาการในด้านกิจกรรม การติดตามประเมินผล กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาของชุมชน ควรเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนการบูรณาการ การพัฒนาศักยภาพ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน แนวทางในการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ได้แก่ การสร้างความรู้ความเข้าใจ การสร้างแรงจูงใจ โดยการเชิดชู ยกย่อง และการสนับสนุนทรัพยากร ผู้นำวัด โรงเรียน และราชการ ให้การสนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์ สถานที่ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนสนับสนุนการพัฒนาทักษะ ความรู้ ของผู้นำ ชาวบ้าน และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขในการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบของชุมชนคุณธรรม บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ดังนี้ ปัญหาการทะเลาะวิวาทกัน การพนัน ยาเสพติด หนี้สินนอกระบบ ดื่มเหล้า ขยะ สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง และการแสดงที่ไม่เหมาะสมในงานบุญประเพณี โดยมีแนวทางในการแก้ไข คือ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมครั้งนี้ เพราะการที่ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโครงการนับเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของโครงการ เพราะท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของโครงการชุมชนคุณธรรม คือ การที่ชุมชนมีความสุข คือ ปัญหาเชิงคุณธรรมของชุมชนลดลง คนในชุมชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่เป็นหนี้ และสามารถพึ่งตนเองได้รวมตลอดถึงสามารถเป็นที่ศึกษาดูงานเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆ ได้</p>
จารุมน รติพรเลิศ
ละมัย ร่มเย็น
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
713
727
-
การบริหารงานพัสดุในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ของสหวิทยาเขตพระพุทธบาทบัวบก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4018
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารงานพัสดุในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 144 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้แก่ สุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ตามสัดส่วนจำนวนประชากรของโรงเรียนแต่ละแห่ง และสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 110 คน คิดเป็นร้อยละ 76.38 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารงานพัสดุในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ของสหวิทยาเขตพระพุทธบาทบัวบก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการเก็บ การบันทึก การเบิกจ่าย รองลงมาคือ ด้านการยืม ด้านการจำหน่ายพัสดุ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการบำรุงรักษาการตรวจสอบ 2) แนวทางพัฒนาการบริหารงานพัสดุ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรประเมินสภาพแวดล้อมจัดเก็บพัสดุ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย กำหนดผู้รับผิดชอบดูแลสถานที่จัดเก็บอย่างชัดเจน นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเบิกจ่าย จัดทำฐานข้อมูลพัสดุระบบออนไลน์ จัดฝึกอบรมใช้งานระบบออนไลน์แก่ผู้ใช้งาน แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพัสดุประจำปี ดำเนินการตรวจนับพัสดุคงเหลือกับทะเบียนคุม เพื่อวางแผนจำหน่ายหรือบำรุงรักษา นำระบบบริหารจัดการพัสดุที่ทันสมัยมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ</p>
พิทยา ชาวดร
กิจพิณิฐ อุสาโห
สุรางคณา มัณยานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
728
743
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ: กรณีศึกษาการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4081
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และ 3) พัฒนาทางเลือกเชิงนโยบายในการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลภายใต้การอภิบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จำนวน 160 คน การวิจัยเชิงคุณภาพ คือ กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติวิเคราะห์ข้อมูล การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมติฐานใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านนโยบาย ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร 3) ทางเลือกเชิงนโยบายในการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลภายใต้การอภิบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ ควรมีการจัดสรรบุคลากรและงบประมาณอย่างเหมาะสม มีโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และจัดตั้งกระบวนการติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ</p>
วัฒณชัย สิมลี
กชกร เดชะคำภู
สำราญ วิเศษ
จารุกัญญา อุดานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
744
758
-
ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มอำเภอเพ็ญ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3999
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มอำเภอเพ็ญ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 89 คน ได้มาโดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .91 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 75.42 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มอำเภอเพ็ญ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านช่องทางการสื่อสาร รองลงมา คือ ด้านความชัดเจนของสาร และด้านผู้ส่งสาร ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านผู้รับสาร 2) แนวทางพัฒนาทักษะการสื่อสาร มีแนวทางพัฒนา ดังนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาควรฝึกอบรมพัฒนาทักษะการสื่อสาร เช่น การพูด การนำเสนอ การโน้มน้าวใจ ผ่านการอบรม ศึกษาดูงาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ อบรมเชิงปฏิบัติการด้านการใช้ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม โดยแลกเปลี่ยนเรียนรู้และรับข้อมูลป้อนกลับระหว่างกัน ฝึกเขียนข้อความสั้น ๆ ให้ชัดเจน แล้วรับการประเมินและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น สำรวจความคิดเห็นของครู แต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองข่าวสาร และติดตามประเมินผลการสื่อสาร เพื่อปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p>
กรรณิการ์ พูลประสาร
ชารี มณีศรี
สมหมาย สร้อยนาคพงษ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
759
770
-
การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารกับงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4089
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร 2) ศึกษาระดับงบประมาณของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารกับงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 63 แห่ง ผู้วิจัยได้กำหนดผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สถานศึกษา ละ 6 คน เท่ากัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 378 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคของตัวแปรด้านการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เท่ากับ .96 และตัวแปรด้านงานงบประมาณของสถานศึกษา เท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ด้านหลักความคุ้มค่า หลักความโปร่งใสด้านหลักความรับผิดชอบ ด้านหลักการมีส่วนร่วม ด้านหลักคุณธรรม และด้านหลักนิติธรรม ตามลำดับ 2) งานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การวางแผนงบประมาณ การบริหารบัญชี การรายงานผลการดำเนินงาน และการบริหารสินทรัพย์ ตามลำดับ และ 3) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารกับงานงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 มีความสัมพันธ์กันทางบวกกับงานงบประมาณของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
จิราพร บุญธรรม
ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง
สมชัย พุทธา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
771
781
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4357
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 341 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง .67 – 1.00 และความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัจจุบันเท่ากับ .97 และสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ .97 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านวิสัยทัศน์ และ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มี ดังนี้ 2.1) ด้านวิสัยทัศน์ 4 แนวทาง 2.2) ด้านจินตนาการ 3 แนวทาง 2.3) ด้านความคิดสร้างสรรค์ 4 แนวทาง <br />2.4) ด้านการทำงานเป็นทีม 3 แนวทาง และ 2.5) ด้านความยืดหยุ่นและปรับตัว 3 แนวทาง</p>
ภัทราภรณ์ อัฒจักร
พระเมธีวัชราภรณ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
782
796
-
การศึกษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตและแปรรูปมะขามในจังหวัดเพชรบูรณ์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3739
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิต และแปรรูปมะขามในจังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตและแปรรูปมะขามในจังหวัดเพชรบูรณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิต และแปรรูปมะขามในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 24 กลุ่ม ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เส้นห่อหุ้ม และการวิเคราะห์การถดถอยโทบิท ผลการศึกษา พบว่า วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตและแปรรูปมะขามในจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ยเท่ากับ .58 และยังพบว่า หากวิสาหกิจชุมชนฯ ได้รับเงินสนับสนุนและเงินกู้ยืมจากแหล่งเงินทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะส่งผลให้วิสาหกิจชุมชนฯ มีประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 ดังนั้น ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนฯ ควรเข้าไปให้ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับการหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนฯ และให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ</p>
สุพิชชา โชติกำจร
นิพนธ์ เพชระบูรณิน
บวรลักษณ์ เงินมา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
797
809
-
แนวทางการเพิ่มจำนวนผู้ขอสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจของธนาคารออมสินภาค 3
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3884
<p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของความกังวลใจต่อหลักเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อสวัสดิการและคุณภาพการบริการของพนักงาน ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจการใช้บริการสินเชื่อ 2) ศึกษาสาเหตุที่ลูกค้าไม่สนใจกู้สินเชื่อสวัสดิการ และ 3) เสนอแนวทางการเพิ่มจำนวนผู้ขอสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจของธนาคารออมสินภาค 3 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ด้วยการแจกแบบสอบถามกับลูกค้าธนาคารออมสินที่มีอาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ของธนาคารออมสิน ภาค 3 จำนวน 360 คน สถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงถดถอยพหุคูณ และสัมภาษณ์เชิงลึกกับพนักงานที่มีหน้าที่ในการขายสินเชื่อของธนาคารออมสิน ภาค 3 จำนวน 12 คน ผลการศึกษา พบว่า 1) ความกังวลใจต่อหลักเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ ด้านประวัติการชำระหนี้ และคุณภาพการบริการด้านการเอาใจใส่ลูกค้ารายบุคคล ส่งผลการตัดสินใจการใช้บริการสินเชื่อสวัสดิการ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 2) สาเหตุที่ลูกค้าไม่สนใจกู้สินเชื่อเกิดจากปัญหาในด้านความกังวลกับประวัติการชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ และปัญหาคุณภาพการบริการของพนักงาน และ 3) แนวทางที่เหมาะสมในการเพิ่มยอดอนุมัติสินเชื่อ คือ ธนาคารออมสินเพิ่มบริการพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้าพนักงานราชการและข้าราชการได้ ในด้านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่าง ๆ ธนาคารออมสินเพิ่มโฆษณา ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขพิเศษของสินเชื่อสวัสดิการ เพื่อลดความกังวลของกลุ่มลูกค้า ธนาคารออมสินควรขยายวงเงินสินเชื่อฉุกเฉิน สำหรับลูกค้าที่ต้องการเงินด่วนแต่ไม่ต้องการวงเงินที่สูงและระยะเวลาการผ่อนชำระไม่เกิน 12 เดือน</p>
ยศภัทร ฤทธิ์มาก
รัชดา ธูปทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
810
823
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการรายงานความยั่งยืนและการกำกับดูแลกิจการกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย SET 100
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3694
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรายงานความยั่งยืนและการกำกับดูแลกิจการกับความสามารถในการทำกำไร โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ถึง 2565 รวมระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 288 บริษัท ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ และสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ เพื่ออธิบาย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรายงานความยั่งยืนและการกำกับดูแลกิจการกับความสามารถในการทำกำไร ผลการวิจัย พบว่า การรายงานความยั่งยืนด้านคะแนนด้านสังคม (SCS) ด้านคะแนนด้านธรรมาภิบาล (GVS) และการกำกับดูแลกิจการ ด้านผลประเมิน การกำกับดูแลกิจการที่ดี (CGR) ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไรด้านอัตรากำไรสุทธิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การรายงานความยั่งยืนด้านคะแนนด้านสิ่งแวดล้อม (EVS) และการกำกับดูแลกิจการ ด้านผลประเมิน การกำกับดูแลกิจการที่ดี (CGR) ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไรด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การรายงานความยั่งยืนด้านคะแนนด้านสังคม (SCS) และการกำกับดูแลกิจการด้านผลประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CGR) ด้านผลประเมินคุณภาพการจัดประชุมผู้ถือหุ้น (AGM) ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไรด้านอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
รุจิรา เอี่ยมตาล
ดารณี เอื้อชนะจิต
ถิรวุฒิ ยังสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-13
2025-06-13
5 2
824
838
-
คุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ ที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ กรณีศึกษา: หน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3875
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ และความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย 2) เพื่อเปรียบเทียบคุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ และความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย และ 3) เพื่อทดสอบผลกระทบของคุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุกับความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง ระดับต้น และระดับผู้ปฏิบัติงาน จำนวน 184 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบ F-test และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และผลกระทบ ผลการวิจัยพบว่า นักบัญชี การเงินและพัสดุของหน่วยงานภาครัฐ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสุจริต อยู่ในระดับมากที่สุด และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร ด้านผู้นำองค์กร ด้านผู้ปฏิบัติงาน ด้านกระบวนการบริหารจัดการ หน่วยงานภาครัฐที่มีกลุ่มหน่วยงาน งบประมาณที่ได้รับต่อปี และจำนวนบุคลากร แตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ และความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่โดยรวม ไม่แตกต่างกัน จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และผลกระทบ พบว่า คุณธรรมนักบัญชี การเงินและพัสดุ ด้านวินัย ด้านสุจริต ด้านจิตอาสา และด้านกตัญญู มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่โดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p>
มัลลิกา พรหมดี
สุวรรณ หวังเจริญเดช
อุทิศ พงศ์จิรวัฒนา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-14
2025-06-14
5 2
839
852
-
การบริหารจัดการแบบร่วมมือ: ทางออกของนโยบายสาธารณะ ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4792
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการแก้ไขปัญหาสาธารณะด้วยการบริหารจัดการแบบร่วมมือ โดยศึกษาถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาสาธารณะด้วยการบริหารจัดการแบบร่วมมือ ปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการแบบร่วมมือ ผลการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการแบบร่วมมือมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาสาธารณะที่ซับซ้อน โดยการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการแบบร่วมมือยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจและทรัพยากร ความแตกต่างของวัฒนธรรมและค่านิยม และการขาดความไว้วางใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการดำเนินงานที่ไม่ราบรื่น บทความนี้ได้เสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการแบบร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว เช่น การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมที่เท่าเทียมกัน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสร้างความโปร่งใส และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บทความนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้</p>
ปิยากร หวังมหาพร
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-14
2025-06-14
5 2
853
865
-
จริยธรรมและธรรมาภิบาล: หลักการสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และความโปร่งใสของสังคม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4192
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์หลักการของมาตฐานจริยธรรมและธรรมาภิบาล mportant p2) วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานจริยธรรมและธรรมาภิบาล 3) วิเคราะห์บทบาทของจริยธรรมและธรรมาภิบาลในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในสังคม โดยการศึกษาเอกสาร ทบทวนวรรณกรรมรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1) ธรรมาภิบาลคือหลักการบริหารจัดการที่ดี อันเกี่ยวข้องกับนโยบายของส่วนราชการและพฤติกรรมของบุคลากรในองค์การ ส่วนมาตฐานจริยธรรมตามพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ระบุหลักเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องประพฤติปฏิบัติตาม 2) ความเชื่อมโยงของทั้งสองหลัก คือธรรมาภิบาลเป็นหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ประกอบด้วย 6 ประการ ได้แก่ 2.1) หลักนิติธรรม 2.2) หลักคุณธรรม 2.3) หลักความโปร่งใส 2.4) หลักการมีส่วนร่วม 2.5) หลักสำนึกรับผิดชอบ และ 2.6) หลักความคุ้มค่า ส่วนจริยธรรม 7 ประการ คือ 2.1) ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ 2.2) ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2.3) กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม 2.4) คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและมีจิตสาธารณะ 2.5) มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน 2.6) ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ 2.7) ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันทุกข้อเป็นหลักเดียวกันไม่แปลกแยก 3) ทั้งสองหลักมีความเข้มแข็งในการส่งเสริมกัน ก็ยิ่งผลักดันให้เป็นหน้าที่ที่สมาชิกในสังคม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐพึงประพฤติปฏิบัติอย่างดีต่อตนเองต่อผู้อื่น และต่อสังคม อันเป็นผลมาจากการมีบทบาทสำคัญของมาตฐานจริยธรรมและธรรมาภิบาล ในการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนและความโปร่งใสในสังคม ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสังคม</p>
ทิพาพร แคล่วคล่อง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-14
2025-06-14
5 2
866
882
-
แนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสตรีราชินูทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3846
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสตรีราชินูทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้ปฏิบัติหน้าสอน จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัย มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสตรีราชินูทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทุกข้ออยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ งานพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา รองลงมา คือ งานกลุ่มสาระการเรียนรู้ และด้านงานวัดผลและประเมินผลการเรียน ด้านที่น้อยที่สุด คือ งานพฤกษาศาสตร์ 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการผู้บริหารควรจัดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาบุคลากร ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการข้อมูล สนับสนุนการผลิตสื่อการเรียนรู้ สร้างช่องทางการสื่อสารออนไลน์ จัดอบรมความรู้พื้นฐานและปฏิบัติด้านพฤกษศาสตร์ เชิญวิทยากร จัดศึกษาดูงาน สนับสนุนการวิจัยและการเข้าร่วมประชุมวิชาการ รวมถึงจัดทำคู่มือและสื่อประกอบการบริการด้านพฤกษศาสตร์</p>
ธนสาส์น วรรณสวาท
กิจพิณิฐ อุสาโห
สุรางคณา มัณยานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-14
2025-06-14
5 2
883
896
-
Economic impacts of the Klong Luang Ratchalothorn reservoir project: Insights from beneficiary households in Thailand
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4180
<p>This study analyzes the economic conditions of households benefiting from the Klong Luang Ratchalothorn Reservoir Project in Chonburi Province. It evaluates the current financial state, identifies challenges, and compares agricultural data from the 2018-2019 and 2022-2023 planting seasons. The results indicate that the reservoir positively influenced agriculture and yielded substantial advantages, including enhanced net income from livestock farming. Nonetheless, elevated production expenses, declining agricultural prices, financial challenges, and a significant rise in pest and disease occurrences since 2019 persist. Household expenses and debt also showed significant growth, while household savings increased, it indicated the improved financial resilience. Despite these positive trends, economic stability was still impacted by rising costs and market volatility. The research highlighted the importance of targeted support, including enhancing water resource management, training for farmers, and economic assistance, to improve household financial health and to ensure sustainable development in the region. These measures aim to mitigate existing challenges and strengthen the livelihoods of affected communities, promoting resilience and long-term economic sustainability.</p>
Pech Taveevong
Junya Singkham
Ponsaran Saranrom
Janenarong Tiensawang
Siriluck Namwong
Narat Rattanacharoen
Suthipong Noonai
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0
2025-06-14
2025-06-14
5 2
897
912