วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU th-TH <p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นทัศนะ ลิขสิทธิ์ และความรับผิดชอบของผู้เขียนเจ้าของผลงาน</p> jmssnru@snru.ac.th (Assoc. Prof. Sanyasorn Swasthaisong, Ph.D.) jmssnru@gmail.com (นางสาวสิริกร กุมภักดี) Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจที่จะเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายกาแฟ โดยผ่านตู้กาแฟขนาดเล็กสำเร็จรูป https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4335 <p>ธุรกิจกาแฟขนาดเล็กกำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย เนื่องจากต้นทุนต่ำและตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังขาดข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการในด้านนี้ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจที่จะเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายกาแฟโดยผ่านตู้กาแฟขนาดเล็กสำเร็จรูป อีกทั้งยังศึกษาระดับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างต่อความตั้งใจดังกล่าว การเก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม 385 ชุด สุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยเทคนิควิธีอาศัยความสะดวก เก็บตัวอย่างจากผู้ที่สนใจจะเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายกาแฟโดยผ่านตู้กาแฟขนาดเล็กสำเร็จรูป ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ใช้การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติมีอิทธิพลสูงสุดต่อความตั้งใจในการเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายกาแฟโดยผ่านตู้กาแฟขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับปัจจัยอื่น ๆ รองลงมา คือ ปัจจัยด้านโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการและปัจจัยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจที่จะเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายกาแฟโดยผ่านตู้กาแฟขนาดเล็กสำเร็จรูป อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยด้านทัศนคติ ด้านการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ ด้านโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการ และด้านแนวโน้มของการชอบความเสี่ยง</p> อิงจันทร์ ใบแก้วทอง, วรัญพงศ์ บุญศิริธรรมชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4335 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การปรับตัวของวงหมอลำในยุคการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4614 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการปรับตัวของวงหมอลำในยุคการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล และ 2) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแฟนคลับหมอลำในยุคดิจิทัล โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับบุคลากรที่ทำงานวงหมอลำ จำนวน 15 คน แบ่งออกเป็น 6 คณะ ได้แก่ 1) หมอลำคณะประถมบันเทิงศิลป์ 2) หมอลำคณะเสียงอิสาน 3) หมอลำคณะระเบียบวาทะศิลป์ 4) หมอลำคณะสาวน้อยเพชรบ้านแพง 5) หมอลำคณะรัตนศิลป์ อินตาไทยราษฎร์ 6) หมอลำคณะศิลปินภูไท ผลการวิจัย พบว่า 1) การปรับตัวของวงหมอลำสู่ยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 1.1) การใช้กลยุทธ์การสร้างและนำเสนอเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ของวงหมอลำให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ 1.2) การบริหารธุรกิจหมอลำ ให้สอดคล้องกับยุคสมัย และความต้องการของผู้ชม 2) การบริหารจัดการแฟนคลับหมอลำในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 2.1) การมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มแฟนคลับอย่างสม่ำเสมอทั้งด้านหน้าเวทีและบนสื่อสังคมออนไลน์ 2.2) การรับฟังความคิดเห็นของแฟนคลับเพื่อพัฒนาปรับปรุงการแสดงให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมและแฟนคลับได้ทุกเพศทุกวัย</p> อาทิติยา เบ็ญจะปัก, อัญชลี พิเชษฐพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4614 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5161 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ และ 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ทำการสำรวจและวิเคราะห์เอกสาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชน จำนวน 352 คน ระยะที่ 2 ทำการพัฒนารูปแบบ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ระยะที่ 3 ทำการทดลองรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชน จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต แบบสอบถามคุณภาพชีวิต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า ปัจจุบันประชาชนมีความพึงพอใจด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง มีความพึงพอใจด้านรายได้อยู่ในระดับน้อย ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการและทฤษฎี 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จำนวน 4 ขั้น ได้แก่ ขั้นบอกให้เขารู้ ขั้นทำให้เขาดู ขั้นดูเขาทำ และขั้นแนะนำให้เขาสำเร็จ 4) การวัดและประเมินผล หลังการใช้รูปแบบพบว่า มีความเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด โดยคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความพึงพอใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมาก</p> ณฤดี เนตรโสภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5161 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่นเพื่อการมุ่งเน้นตลาดด้วยส่งเสริม ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5086 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชน 2) เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชน และ 3) เพื่อตรวจสอบ แนวทางการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่นเพื่อการมุ่งเน้นตลาดด้วยส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออก 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 280 คน กลุ่มที่สอง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 2 กลุ่ม รวมทั้งสิ้น 5 คน และกลุ่มที่สาม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 กลุ่ม เป็นจำนวน 9 คน โดยใช้เครื่องมือวิจัย 3 แบบ ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสัมภาษณ์โดยใช้แบบประเมิน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1) ผลการวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดี (Chi-square = 64.340, p-value = .235, GFI = .933 และ RMSEA = .053) โดยปัจจัยด้านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนส่งผลเชิงบวกต่อการมุ่งเน้นตลาด (β = .44) และการมุ่งเน้นตลาดส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน (β = .14) 2) การสร้างแนวทางการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่น พบว่าปัจจัยสำคัญประกอบด้วย การจัดวางกลยุทธ์ การยอมรับเทคโนโลยี การพัฒนาความรู้ของสมาชิกชุมชน และการจัดการทรัพยากรภายใน ซึ่งแนวทางดังกล่าวเน้นการสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ คุณภาพ และการตอบสนองความต้องการของตลาด และ 3) ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนานวัตกรรมฯ จากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์ของแนวทางดังกล่าวอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.36 (S.D. = .547) ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการนำไปใช้จริง</p> ปัญญดา จันทกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5086 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชีในการคำนวณต้นทุนและกำไร สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5393 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชีในการคำนวณต้นทุนและกำไรสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประเมินประสิทธิภาพการใช้งานโปรแกรม ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงประยุกต์และงานวิจัยเชิงสำรวจ โดยกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเขตพื้นที่จังหวัดเลยและขอนแก่น จำนวน 11 กลุ่ม สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จำนวน 105 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชีในการคำนวณต้นทุนและกำไรสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา โดยใช้สถิติวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชีในการคำนวณต้นทุนและกำไรสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมื่อเข้าระบบหน้าจอหลักจะแสดงรายการ จำนวนสมาชิกในกลุ่ม รายได้จากการขายสินค้า รายได้อื่น ๆ และจำนวนสินค้า เพื่อให้เห็นภาพรวมของข้อมูลได้โดยง่าย ในส่วนของเมนูประกอบด้วย สินค้าผลิต ขายสินค้า รายการอื่น ๆ และรายงาน สามารถเรียกดูข้อมูลทางบัญชีเกี่ยวกับงบต้นทุนการผลิต งบกำไรขาดทุน และสรุปรายได้จากการขายและต้นทุนขาย สร้างความสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ผลการประเมินประสิทธิภาพในการใช้ระบบงานโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีในการคำนวณต้นทุนและกำไรสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยภาพรวมประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการออกแบบระบบ ด้านการใช้งานระบบ ด้านการประมวลผลของระบบ และด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบตามลำดับ ซึ่งสามารถเข้าใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ด้วยรหัสผ่านป้องกันการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งจะมีเพียงสมาชิกเท่านั้นที่จะเข้าดูข้อมูลได้</p> ลภัสรดา พิชญาธีรนาถ, สาธิยา กลิ่นสุคนธ์, ขนิษฐา หาระคุณ, สุไพลิน พิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5393 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ทักษะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเซิมโพธิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3922 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเซิมโพธิ์ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเซิมโพธิ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรง (IOC) ระหว่าง .67 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ทักษะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเซิมโพธิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านทักษะทางเทคนิค รองลงมา คือ ด้านทักษะทางมนุษยสัมพันธ์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านทักษะทางคตินิยม 2) แนวทางการพัฒนาทักษะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเซิมโพธิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ได้แก่ การวางแผนงานกิจการนักเรียนเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรม และจริยธรรมเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ดีและเข้มแข็ง การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับนักเรียนทุกคน และส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับนักเรียน</p> อาทิตยา ชินนอก, นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์, สุรางคณา มัณยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/3922 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการประหยัดต้นทุนของการใช้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4104 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2) เพื่อศึกษาการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ของโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และ 3) เพื่อศึกษาการประหยัดต้นทุนของการใช้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยส่วนที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้อาศัยแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่น .920 เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 120 คน และส่วนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ อาศัยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ จำนวน 4 คน จากภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นผู้ที่อำนาจในการตัดสินใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มีระยะเวลในการวิจัยตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และการพรรณนาข้อมูลจากการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การตัดสินใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากต้นทุนหลักที่เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบติดตั้ง และต้นทุนย่อย 2) การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ เริ่มตั้งแต่การศึกษาขอบเขตโครงการ-ต้นทุน-ผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน จากนั้นนำไปเปรียบเทียบกับผลที่ได้รับและวิเคราะห์ความอ่อนไหวในการลงทุน และ 3) การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถประหยัดต้นทุนได้จริง โดยภาคการผลิตมีระยะเวลา คืนทุนประมาณ 5-15 ปีตามขนาดการติดตั้ง และภาคครัวเรือน จากระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยประมาณ 2 ปี</p> หฤทัย นันทะวงศ์, กมลพรรณ แสงมหาชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4104 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4246 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรที่สังกัดในเทศบาลเมืองบางบัวทอง จำนวน 230 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 146 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้รับแบบสอบถามตอบกลับมาทั้งสิ้น 146 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ ปัจจัยด้านการส่งเสริมจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขององค์การ ปัจจัยด้านวิธีการทำงานขององค์การเชิงดิจิทัล ปัจจัยด้านความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลขององค์การ และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามลำดับ</p> นิสรา ใจซื่อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4246 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4046 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ ครูผู้ปฏิบัติหน้าสอน จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 86.84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับสมรรถนะหลักผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนบ้านดุง 1 ภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง รายด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านพัฒนาตนเอง และวิชาชีพ รองลงมา คือ ด้านมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านบริการที่ดี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านทำงานเป็นทีม 2) แนวทางพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ด้านมุ่งผลสัมฤทธิ์ ควรวางแผนและกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำงานอย่างขยันขันแข็งอดทนต่ออุปสรรคมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และมองหาโอกาสในการเรียนรู้พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ด้านบริการที่ดี ควรเต็มใจให้บริการ ตั้งใจบริการอย่างเต็มที่ มองหาโอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ใจเย็น และแสดงท่าที่เป็นมิตร ด้านพัฒนาตนเอง ควรวิเคราะห์ข้อมูลคิดนอกกรอบหาความสัมพันธ์ของข้อมูล คิดไอเดียใหม่ ๆ หาแนวทางใหม่ ๆ คิดนอกกรอบ คิดแบบบูรณาการ ทดลอง ฝึกฝน เรียนรู้จากประสบการณ์ แก้ไข และพัฒนาตนเองเสมอ และด้านทำงานเป็นทีม ควรกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน และสื่อสารให้บุคลากรในสถานศึกษาทราบ ควรกระตุ้นให้บุคลากรมีส่วนร่วม และควรจัดสวัสดิการเพิ่มเติมให้ครูและบุคลากรในสถานศึกษา</p> เบ็ญจมาศ ชนูนันท์, กิจพิณิฐ อุสาโห, สุรางคณา มัณยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4046 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวปฏิบัติที่ดีของงานตรวจสอบภายในที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย ในการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4399 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแนวปฏิบัติที่ดีของงานตรวจสอบภายใน และการบรรลุเป้าหมายในการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ และ 2) เพื่อศึกษาระดับแนวปฏิบัติที่ดีของงานตรวจสอบภายในที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายในการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบภายในหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายงานตรวจสอบภายใน จำนวน 240 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบปกติ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับแนวปฏิบัติที่ดีของงานตรวจสอบภายใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านสามารถเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการวางแผนปฏิบัติงานตรวจสอบภายใน ด้านความรู้ความเชี่ยวชาญ ด้านการติดตามผลการตรวจสอบภายใน ด้านการรายงานผล การตรวจสอบภายใน ด้านความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม และด้านให้คำปรึกษาและแนะนำ ตามลำดับ ส่วนระดับการบรรลุเป้าหมายในการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประกอบด้วย ด้านคุณภาพของงานตรวจสอบภายใน และ ด้านประสิทธิผลการควบคุมภายใน และ 2) แนวปฏิบัติที่ดีของงานตรวจสอบภายใน จำนวน 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการวางแผนปฏิบัติงานตรวจสอบภายใน ด้านการรายงานผลการตรวจสอบภายใน ด้านการติดตามผลการตรวจสอบภายใน และด้านให้คำปรึกษาและแนะนำ ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายในการตรวจสอบภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์อยู่ในระดับสูงที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยตัวพยากรณ์ที่ทำนายได้ดีที่สุด ได้แก่ ด้านให้คำปรึกษาและแนะนำ</p> ละมัย เชยกะรินทร์, อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์, ปีย์วรา พาณิชวิทิตกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4399 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบ้านดุง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4051 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล และแนวทางพัฒนาการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบ้านดุง 1 เป็นวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำนวน 118 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้แก่ สุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน แล้วใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรง (IOC) ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบ้านดุง 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีการกระจายตัวน้อย เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ หลักการมีส่วนร่วม รองลงมา คือ หลักความโปร่งใส และหลักนิติธรรม ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ หลักประสิทธิภาพ 2) แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มบ้านดุง 1 สามารถดำเนินการดังต่อไปนี้ ควรการมีมาตรการการรายงานผลโครงการ/กิจกรรมที่ชัดเจน และพัฒนาระบบการรายงานผลผ่านออนไลน์ที่สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน และปลอดภัย การกำหนดระยะเวลาการรายงานที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ จะช่วยให้การรายงานผลการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ สามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็วและมี ความถูกต้อง ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนด้านงบประมาณ การจัดการภาระงานให้เหมาะสม และส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรได้รับการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ การจัดการภาระงานให้เหมาะสม และการส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรได้รับการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และควรบริหารงานด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ และยึดมั่นในคุณธรรม ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากบุคลากรในสถานศึกษา</p> ปัทมา ศรีเพ็ง, ชารี มณีศรี, สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4051 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อ กระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร ในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4544 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ 2) ศึกษาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ และ 3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรของผู้บริโภคร้านขายปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคร้านขายปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ จำนวน 400 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ประกอบด้วย ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การรับรู้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีเขียว และแรงกดดันทางสังคม มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ประกอบด้วย ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การรับรู้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สีเขียว และแรงกดดันทางสังคม ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> กิตติยา อุดมศรี, สิริลักษณ์ ทองพูน, ชุติมา หวังเบ็ญหมัด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4544 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4160 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามการบริหารงานวิชาการ จำนวน 59 ข้อ ลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง .67-1.00 มีความเที่ยงของแบบสอบถามเท่ากับ .96 และแบบสอบถามประสิทธิผลการจัดการศึกษา จำนวน 22 ข้อ มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง .67-1.00 มีความเที่ยงของแบบสอบถามเท่ากับ .80 สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก และระดับต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ระดับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา สูงสุด คือ ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านคุณภาพของผู้เรียน อยู่ในระดับมากที่สุด และระดับต่ำสุด คือ ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก 3) การบริหารงานวิชาการมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงกับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = 0.85)</p> จันทร์ประภา คำยิ้ม, ฐิตินันท์ ด้วงสุวรรณ, นันธวัช นุนารถ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4160 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของความรับรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ความเครียดในการทำงานและความไม่มั่นคงในการทำงาน ที่มีต่อความพึงพอใจในงานของพนักงานบริษัทเอกชน ธุรกิจประกันชีวิต https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4862 <p>การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเป็นอย่างมาก การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์อิทธิพลของความรับรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ความเครียดในการทำงาน และความไม่มั่นคงในการทำงาน ที่มีต่อความพึงพอใจในงานของพนักงานบริษัทเอกชน ธุรกิจประกันชีวิต ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยมีจำนวน 417 คน เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ธุรกิจประกันชีวิตที่ยังคงทำงานอยู่ในประเทศไทย การเก็บรวบรวมตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก เก็บข้อมูลแบบปฐมภูมิโดยการออกแบบสอบถามสำรวจความคิดเห็นจากพนักงานผ่านทาง Google Forms ใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วยการวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการทดสอบแบบถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความรับรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ต่อความเครียดในการทำงาน 2) มีความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างความรับรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อความไม่มั่นคงในการทำงาน 3) มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความรับรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อความพึงพอใจในงาน 4) มีความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างความเครียดในการทำงานต่อความพึงพอใจในงาน 5) มีความสัมพันธ์เชิงลบระหว่าง ความไม่มั่นคงในการทำงานต่อความพึงพอใจในงาน 6) ความเครียดในการทำงานและความไม่มั่นคงในการทำงานมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> รงค์ชัย เจียวก๊ก, ณัฐพล พันธุ์ภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4862 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดสุรินทร์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4170 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน และระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชน และเพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้การวิจัยเชิงสำรวจ และใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 184 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบปกติ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชนโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการเป็นผู้นำตนเอง และด้านการส่งเสริมการทำให้เกิดวัฒนธรรมความเป็นผู้นำตนเอง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดสุรินทร์ ทั้งในภาพรวม และรายด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพ ด้านปริมาณ และด้านเวลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> จิรวุธ คำลีมัด, ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์, อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4170 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้ขั้นตอนวิธีฮิวริสติกส์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4969 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) จัดเส้นทางการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีอยุธยาโดยใช้ขั้นตอนวิธีฮิวริสติกส์ 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละวิธีในการคำนวณเส้นทางท่องเที่ยวที่มีระยะทางรวมสั้นที่สุด โดยใช้ขั้นตอนวิธีฮิวริสติกส์ ได้แก่ วิธีแทรกเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด วิธีแทรกเพื่อนบ้านที่ไกลที่สุด และวิธีประหยัดของคล้าร์กและไรต์ ผลการวิจัยได้จัดเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีอยุธยา จำนวน 3 เส้นทาง โดยมีขั้นตอนวิธีประหยัดของคล้าร์กและไรต์ ให้ผลลัพธ์ที่มีระยะทางรวมสั้นที่สุด คือ 26.25 กิโลเมตร และมีผลลัพธ์ใกล้เคียงกับโปรแกรม Excel solver คือ 23.45 กิโลเมตร งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเลือกใช้ขั้นตอนวิธีและเครื่องมือที่เหมาะสม มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดเส้นทางอย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว และส่งเสริมการจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน</p> ธรินี มณีศรี, ชวลิต มณีศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4969 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเมือง 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4174 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเมือง 6 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .85 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 90 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานงบประมาณ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการบริหารบัญชี รองลงมา คือ ด้านการจัดทำแผนงบประมาณ และด้านการตรวจสอบภายใน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา 2) แนวทางพัฒนาการบริหารงานงบประมาณของผู้บริหารโรงเรียน คือ ควรมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา เพื่อให้สอดรับกับปรัชญาของสถานศึกษา มีการประเมินแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา มีการจัดทำแผนการตรวจสอบและควบคุมภายในโรงเรียนกำกับ ติดตาม การใช้เงินงบตามแผนปฏิบัติการประจำปี การศึกษาและให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีการจัดประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา รวมทั้งให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมทุนทางสังคม มีการวิเคราะห์แผนงาน โครงการของสถานศึกษาในการกำหนดรายละเอียดของพัสดุที่ต้องการใช้ว่ามีความเหมาะสม ถูกต้อง และควรมีการสรุปยอดจัดทำรายงานเงินคงเหลือประจำวันให้เป็นปัจจุบันและสม่ำเสมอ</p> วนิดา ยอดวันดี, อมรทิพย์ เจริญผล, สุรศักดิ์ หลาบมาลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4174 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4649 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความสำเร็จในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม 2) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม และ 3) แนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม ทั้งหมด 60 กลุ่ม จำนวน 304 คน โดยใช้แบบสอบถาม และกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 คน โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับความสำเร็จในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบปัจจัยเพิ่มเติม ได้แก่ ความสุข ความผูกพันต่อองค์กร และความเอื้ออาทรต่อกัน 2) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เรียงลำดับจากตัวแปรที่มีผลต่อการผันแปรในตัวแปรตามในแบบคะแนนมาตรฐานจากมากทไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการเงินและบัญชี ด้านการผลิตและการพัฒนาคุณภาพสินค้า ด้านผู้นำกลุ่ม และด้านการตลาด โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ = .804 สามารถร่วมกันอธิบายการผันแปรได้ ร้อยละ 80.40 ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบปัจจัยเพิ่มเติม ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านเทคโนโลยี และด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 3) แนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร ควรพัฒนาทักษะผู้นำ จัดทำระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีแพลตฟอร์มสำหรับจำหน่ายสินค้าของวิสาหกิจชุมชน จัดอบรมพัฒนาด้านการใช้ภาษาต่างประเทศ และเน้นการอบรมทักษะการออกแบบและแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามให้มีความหลากหลายและทันสมัย</p> นิตยา บับพาน, อภิกนิษฐา นาเลาห์, กชกร เดชะคำภู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4649 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา จังหวัดอุทัยธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4245 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัญหาการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา เพื่อหาแนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา และเพื่อประเมินแนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครู โรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 401 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบการประเมินแนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัญหาการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา จังหวัดอุทัยธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านสภาพแวดล้อม มีระดับปัญหาสูงสุด อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมาเป็นด้านนักเรียน อยู่ในระดับปานกลาง และระดับปัญหาต่ำสุด คือ ด้านผู้บริหาร อยู่ในระดับน้อย 2) แนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา ทั้ง 6 ด้าน คือ 2.1) ด้านผู้บริหาร ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้บริหารสถานศึกษาด้วยหลักธรรมาภิบาล 2.2) ด้านครูและบุคลากรทางการศึกษา ควรแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อความรับผิดชอบงานโครงการโรงเรียนคุณธรรม 2.3) ด้านนักเรียน ควรจัดหลักสูตรสถานศึกษา หรือจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการพุทธธรรม 2.4) ด้านสภาพแวดล้อม ควรจัดสภาพแวดล้อมที่สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย 2.5) ด้านกระบวนการมีส่วนร่วม ควรให้โอกาสทุกกลุ่มร่วมกันพัฒนา Best Practice โรงเรียนคุณธรรม 2.6) ด้านแผนงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เตรียมความพร้อมของการปฏิบัติงาน รับฟังความก้าวหน้าของการปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษา คำแนะนำ 3) ผลการประเมินแนวทางการบริหารโรงเรียนคุณธรรมระดับประถมศึกษา โดยภาพรวมมีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก และด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> จิรวัฒน์ สวรรคโลก, สุพัฒนา หอมบุปผา, สาธร ทรัพย์รวงทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4245 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุมชนต้นแบบเพื่อส่งเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านเกาะมอญ เกาะไผ่ อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยยึดหลัก BCG https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4678 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านเกาะมอญ เกาะไผ่ อําเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อพัฒนาพลเมืองภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโดยมีชุมชนบ้านเกาะมอญ เกาะไผ่ อําเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นฐาน และ 3) เพื่อพัฒนาชุมชนต้นแบบส่งเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวอยางยั่งยืนของชุมชนบ้านเกาะมอญ เกาะไผ่ อําเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยยึดหลัก BCG เป็นการวิจัยแบบผสามผสานและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ศึกษาจำนวน 400 คน โดยสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของพื้นที่ จำนวน 20 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของพื้นที่ ที่เหมาะสมคือ การพัฒนาและเพิ่มมูลค่ากิจกรรมทางการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเพศหญิง ให้มีความหลากหลายและมีมาตรฐาน 2) การพัฒนาพลเมืองภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโดยมีชุมชนเป็นฐานของพื้นที่ คือ การส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ในรูปแบบของการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยว และการพัฒนาทักษะทางการท่องเที่ยวที่จำเป็นให้กับชุมชน และ 3) การพัฒนาชุมชนต้นแบบเพื่อส่งเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านเกาะมอญ เกาะไผ่ อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยยึดหลัก BCG ประกอบด้วย การสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวและคนในชุมชน การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและการจัดการกระจายรายได้สู่ทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรม การวางแผนการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างเหมาะสมโดยมุ่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> ชัยวุฒิ ชัยฤกษ์, เมทิกา พ่วงแสง, อำนาจ เอี่ยมสำอางค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4678 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษาในจังหวัดอุทัยธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4268 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา 3) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์การบริหารงานบุคคลของสถานศึกษาในจังหวัดอุทัยธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 274 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงของแบบสอบถามเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ รองลงมาคือ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ปัจจัยด้านบรรยากาศองค์กร 2) ระดับการบริหารงานบุคคล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง รองลงมาคือ ด้านการวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการออกจากราชการ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันทางบวก โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง ที่มีความสัมพันธ์สูงสุด คือ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี รองลงมาคือ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ด้านที่มีค่าความสัมพันธ์ต่ำสุด คือ ปัจจัยด้านบรรยากาศองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ปัจจัยด้านงบประมาณ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ และปัจจัยด้านนโยบายการบริหาร ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถพยากรณ์การบริหารงานบุคคลได้ร้อยละ 66</p> พรทิพย์ จั่นผ่อง, ฐิตินันท์ ด้วงสุวรรณ, นันธวัช นุนารถ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4268 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทำงานต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4656 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของคุณภาพชีวิตในการทำงาน ต่อภาวะหมดไฟในการทำงาน ของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) การศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 330 คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอย ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในที่ทำงาน และความเชื่อมโยงทางสังคมของชีวิตการทำงานมีอิทธิพลทางลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อภาวะหมดไฟในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่าการพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น และการส่งเสริมความสมดุลในชีวิตการทำงานสามารถลดความเสี่ยงของภาวะหมดไฟในระยะยาว ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้คือ องค์กรควรให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรที่ดีเพื่อช่วยลดภาวะหมดไฟ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในระยะยาว</p> สมหมาย ชื่นด้วง, ณัฐพล พันธุ์ภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4656 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มไชยวาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4309 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มไชยวาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ประชากรที่ศึกษา คือ โรงเรียน จำนวน 22 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูที่ปฏิบัติหน้าที่สอน จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัย มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 78.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าระดับการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การส่งต่อนักเรียน รองลงมา คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน และการส่งเสริมนักเรียนและพัฒนานักเรียน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ส่วนแนวทางพัฒนาการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน คือ ผู้บริหารควรเก็บข้อมูลควรใช้แบบประเมินพฤติกรรมนักเรียน (SDQ) จากหลายมุมมอง ตระหนักว่ากลุ่มเสี่ยงคือนักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนทุกกลุ่ม ทั้งกิจกรรมกีฬา ลูกเสือ โฮมรูม ประชุมผู้ปกครอง และกิจกรรมเสริมทักษะชีวิต เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ อารมณ์ และมารยาทสังคมของนักเรียน และใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นช่องทางในการสื่อสาร</p> ปภัสนันท์ สีน้ำเงิน, ชารี มณีศรี, สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4309 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของครูในการบริหารงานวิชาการกลุ่มโรงเรียนพิบูลย์รักษ์ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4401 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของครูในการบริหารงานวิชาการกลุ่มโรงเรียนพิบูลย์รักษ์ และ 2) แนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการบริหารงานวิชาการกลุ่มโรงเรียนพิบูลย์รักษ์ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูกลุ่มโรงเรียนพิบูลย์รักษ์ ได้มาด้วยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และการสุ่มอย่างง่าย โดยเป็นครูไม่มีวิทยฐานะ จำนวน 67 คน ครูชำนาญการ จำนวน 14 คน และครูชำนาญการพิเศษ จำนวน 37 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 เก็บรวบรวมข้อมูลผ่าน google form ได้รับตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของครูในการบริหารงานวิชาการกลุ่มโรงเรียนพิบูลย์รักษ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสุดสุด คือ การมีส่วนร่วมด้านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานวิชาการ รองลงมา คือ การมีส่วนร่วมในการด้านการบริหารจัดการหลักสูตร และการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การมีส่วนร่วมด้านการนิเทศการศึกษา ส่วนแนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมของครู ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาควรจัดประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเทคนิคการสอนแบบเชิงรุก (active learning) สร้างทีมงานเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยจัดตั้งคณะทำงานด้านเทคโนโลยีการศึกษาที่มีตัวแทนครู ส่งเสริมให้ครูมีส่วนร่วมในการคัดเลือกหนังสือและสื่อการเรียนรู้ สร้างเครือข่ายครูนักวิจัย โดยจัดตั้งชมรมหรือกลุ่มครูนักวิจัยในระดับกลุ่มโรงเรียน สร้างทีมนิเทศภายในโรงเรียน โดยคัดเลือกครูแกนนำเพื่อเป็นผู้นิเทศภายในโรงเรียน และจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับระบบประกันคุณภาพภายในแก่ครูทุกคน</p> อนันตภรณ์ บุญมี, อมรทิพย์ เจริญผล, สุรางคนา มัณยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4401 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มหนองหาน 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4311 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาหนองหาน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนกลุ่มหนองหาน 3 จำนวน 108 คน จำแนกเป็น ครู จำนวน 77 คน ครูผู้ช่วย จำนวน 10 คน พนักงานราชการ (ครู) จำนวน 2 คน และครูอัตราจ้าง จำนวน 19 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie &amp; Morgan (1970) ทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ทางอีเมล จำนวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ 90.75 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มกลุ่มหนองหาน 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความร่วมมือรองลงมา คือ การยอมให้ และการแข่งขัน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การประนีประนอม 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการแข่งขัน ส่งเสริมการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ ด้านการหลีกเลี่ยง ควรสร้างบรรยากาศองค์กรที่เปิดกว้างต่อการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ด้านการประนีประนอม ควรสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และปรับตัวให้สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ด้านการยอมให้ ควรจัดอบรมการควบคุมอารมณ์และความเครียด และด้านการร่วมมือ ควรสร้างระบบการให้รางวัลที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครู</p> อดิสรณ์ ราชสมบัติ, อมรทิพย์ เจริญผล, สุรางคณา มัณยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4311 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การสื่อสารแบบมีส่วนร่วม: กรณีศึกษาการสื่อสารแบบมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาการผลิตทุเรียนในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5103 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ 1) คุณลักษณะทั่วไปของการสื่อสารแบบส่วนร่วม และ 2) เป้าหมายของการสื่อสารตามระดับการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาการผลิตทุเรียน ระหว่างกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ทุเรียน และเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรเป้าหมาย คือ กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ทุเรียน และเจ้าหน้าที่สำนักงานส่งเสริมการเกษตร เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากการดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกลุ่มแปลงใหญ่ทุเรียน 2 กลุ่ม ได้แก่ ประธาน รองประธาน และเลขานุการ จำนวน 6 คน และเจ้าหน้าที่สำนักงานส่งเสริมการเกษตรผู้รับผิดชอบโดยตรง 3 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์สำหรับการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การสื่อสารเพื่อพัฒนาการผลิตทุเรียนพบกิจกรรม 3 ประเภท คือ กิจกรรมที่ดำเนินการร่วมกัน กิจกรรมที่ไม่สำเร็จเนื่องจากข้อจำกัดงบประมาณ และกิจกรรมการประชุมติดตามมาตรฐานการผลิตทุเรียน โดยใช้วิธีการสื่อสารหลากหลาย เช่น การพบปะ การประชุม และแอปพลิเคชันออนไลน์ เพื่อสนับสนุนความร่วมมือ ความโปร่งใส และการพัฒนากลุ่มเกษตรกร และ 2) การสื่อสารในระดับการให้ข้อมูลและระดับการปรึกษาหารือมีบทบาทสำคัญในด้านการถ่ายทอดความรู้ การส่งเสริมการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา และการพัฒนาการผลิตทุเรียน เช่น การตลาด การแลกเปลี่ยนความรู้ GAP และ GI ทั้งนี้การสื่อสารในระดับการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ระดับการทำงานร่วมกัน และระดับการเสริมอำนาจ มุ่งเน้นการตัดสินใจร่วมกันในแง่ของการกำหนดราคาผลผลิต และการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งสะท้อนถึงการสื่อสารที่มุ่งสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งเพื่อการพัฒนาการผลิตทุเรียนได้อย่างเหมาะสม</p> เพชร ทวีวงษ์, จรรยา สิงห์คำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/5103 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มหนองหาน 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4313 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม และแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มหนองหาน 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนกลุ่มหนองหาน 1 จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .86 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน รองลงมา คือ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และด้านการทำงานเป็นทีม ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการบริหารความเสี่ยง 2) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มหนองหาน 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ดังนี้ ควรจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับหลักการและเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงสมัยใหม่ ควรเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างวิสัยทัศน์ที่มีประสิทธิภาพ ควรจัดการประกวดโครงการนวัตกรรมระหว่างทีม<strong> </strong>และควรกำหนดนโยบายการพัฒนา มุ่งเน้นให้ผู้บริหารโรงเรียนมีเป้าหมายในการคิดสร้างสรรค์ให้ชัดเจน ควรใช้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ นำมาใช้ในสถานศึกษา และควรส่งเสริมวัฒนธรรมการทดลองและเรียนรู้จากความผิดพลาด</p> ณัฐฑิญา พูลสุทธิ์, ชารี มณีศรี, สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4313 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4446 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำนวน 103 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ได้รับตอบกลับ 93 คน คิดเป็นร้อยละ 90.29 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา <strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านช่องทางการติดต่อสื่อสาร รองลงมา คือ ด้านความชัดเจนของสาร และด้านความสามารถของผู้รับสาร ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความสามารถของผู้ส่งสาร 2) แนวทางพัฒนาทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ผู้บริหารควรหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิค อธิบายให้ชัดเจน ใช้ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อสื่อสารได้ชัดเจน ฝึกฝนการพูดและเขียนอย่างสม่ำเสมอ โดยขอคำแนะนำจากผู้อื่น ทำความเข้าใจช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อเลือกใช้ได้เหมาะสม พิจารณาถึงความสะดวก รวดเร็ว ประสิทธิภาพ สถานที่ เวลา และผู้รับสาร ปรับปรุงช่องทางให้ทันสมัย ศึกษาและทำความเข้าใจประเด็นอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างเนื้อหาถูกต้อง ครบถ้วน น่าเชื่อถือ เรียงลำดับเนื้อหาให้สมบูรณ์และเป็นเหตุเป็นผล ใช้ภาษาเรียบง่าย ตรงประเด็น เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงภาษาศัพท์เฉพาะที่สร้างความสับสน พร้อมสร้างความสัมพันธ์และบรรยากาศความไว้วางใจกับผู้รับสาร ด้วยการสื่อสารเปิดเผย ซื่อสัตย์ เคารพนับถือ และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้รับสาร</p> กิตติคุณ จันทะปิดตา, กิจพิณิฐ อุสาโห, สุรางคณา มัณยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4446 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 คุณภาพการบริการ คุณค่าตราสินค้า และ ความคุ้มค่าในสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อซ้ำประกันชีวิตเพื่อสังคมของลูกค้าธนาคารออมสินในเขตจังหวัดลำพูน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4616 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของคุณภาพการบริการ คุณค่าตราสินค้า และความคุ้มค่าในสินค้า 2) เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อซ้ำประกันชีวิตเพื่อสังคมของลูกค้าธนาคารออมสินในเขตจังหวัดลำพูน และ 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลของคุณภาพการบริการ คุณค่าตราสินค้าและความคุ้มค่าในสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อซ้ำประกันชีวิตเพื่อสังคมของลูกค้าธนาคารออมสินในเขตจังหวัดลำพูน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิจัย เชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 7 คน และเก็บแบบสอบถาม จำนวน 282 กับลูกค้าประกันชีวิตเพื่อสังคมธนาคารออมสินในเขตจังหวัดลำพูน ปี 2567 สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจคุณภาพบริการในภาพรวมของธนาคารออมสิน โดยเฉพาะการบริการของพนักงาน และมีการรับรู้คุณค่าตราสินค้าของประกันชีวิตเพื่อสังคม ด้านการรู้จักตราสินค้า ด้านการรับรู้คุณภาพ ด้านการเชื่อมโยงตราสินค้า และด้านความภักดีต่อตราสินค้า รวมถึงการรับรู้ความคุ้มค่าด้านความคุ้มค่าในสินค้า ด้านราคา และด้านประโยชน์ที่ได้รับ ผลการศึกษาเชิงปริมาณ พบว่า คุณภาพการบริการ คุณค่าตราสินค้า และความคุ้มค่าในสินค้า มีอิทธิพลในทางบวกกับการตัดสินใจซื้อซ้ำประกันชีวิตเพื่อสังคมของลูกค้าธนาคารออมสินในเขตจังหวัดลำพูน ที่ระดับนัยสำคัญ .05</p> จิรนันท์ ทะสุดใจ, ปราณี เอี่ยมละออภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4616 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 บรรยากาศองค์กรกับการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4323 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบรรยากาศองค์กรตามการรับรู้ของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานตามความคิดเห็นของครู โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์กรกับการปฏิบัติงานของครู โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 410 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า สภาพบรรยากาศองค์กรในมิติพฤติกรรมของผู้บริหารและครูที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ภาพรวมเกิดขึ้นค่อนข้างมาก โดยมิติพฤติกรรมผู้บริหารด้านการสนับสนุน เกิดขึ้นมากที่สุด ภาพรวมของบรรยากาศองค์กรของโรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นบรรยากาศองค์กรแบบเปิด ได้แก่ ผู้บริหารด้านการสนับสนุน ความเป็นเพื่อนร่วมงานครู และความใกล้ชิดสนิทสนมของครูอยู่ในระดับปานกลาง และบรรยากาศแบบเปิด ได้แก่ ผู้บริหารด้านการสั่งการ ผู้บริหารในการจำกัดสิทธิ และครูที่ขาดความผูกพันอยู่ในระดับปานกลาง ความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานของครูพบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และค่าความสัมพันธ์ระหว่างแบบบรรยากาศองค์กรกับปฏิบัติงานของครู ภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ศุภสิทธิ์ ขุนเทพ, นลินี สุตเศวต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4323 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4325 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 103 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม google form วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้เทคโนโลยี รองลงมา คือ วิสัยทัศน์ผู้นำแบบเทคโนโลยี และการเป็นพลเมืองในยุคเทคโนโลยี ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การจัดการเทคโนโลยี 2) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีด้านการจัดการเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสหวิทยาเขตเทสรังสี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ดังนี้ ผู้บริหารควรกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน จัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยี จัดกิจกรรมประกวดไอเดียนวัตกรรม จัดตั้งคณะกรรมการด้านเทคโนโลยี คำนวณต้นทุนและใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล จัดทำนโยบายความปลอดภัยของข้อมูล สร้างแพลตฟอร์มกลางสำหรับการแบ่งปันข้อมูล และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์พร้อมทั้งจัดประชุมทบทวนกระบวนการอย่างสม่ำเสมอ</p> น้ำมน ศรีหาชัย, ชารี มณีศรี, สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4325 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายที่ 12 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4400 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและแนวทางพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายที่ 12 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูสถานศึกษาเครือข่ายที่ 12 จำนวน 77 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง .67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .88 และแบบสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ผ่าน google form ทางอีเมล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายที่ 12 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสร้างเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ รองลงมา คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง และและการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการรักษาวินัยและการออกจากราชการ แนวทางพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายที่ 12 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 มีรายละเอียด ดังนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ และวินัยข้าราชการครูอย่างสม่ำเสมอ และผู้บริหารสถานศึกษาควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของครู ควรจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎ ระเบียบ และวินัยข้าราชการครูอย่างสม่ำเสมอ ควรสร้างระบบการรายงานและติดตามพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดวินัย และควรจัดตั้งหน่วยให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและวินัย ตามลำดับ</p> วิลัยลักษณ์ คำวงค์ศา, อมรทิพย์ เจริญผล, สุรศักดิ์ หลาบมาลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4400 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาระบบบริการสาธารณะ: กรณีศึกษา การจัดทำระบบรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้บริการเรือคลองแสนแสบ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4990 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาบริการเรือสาธารณะผ่านระบบรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ โดยนำความเห็นของประชาชนไปปรับปรุงและตรวจสอบการให้บริการได้ทันที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามออนไลน์ที่เข้าถึงด้วยคิวอาร์โค้ด มีการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันไลน์และรายงานผลข้อมูลด้วยกระดานสรุป ในปี 2567 ผู้มาใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ จำนวน 10,884,318 คน กลุ่มตัวอย่างของผู้มาใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบที่แสดงความคิดเห็นผ่านแบบสอบถามโดยสมัครใจ จำนวน 1,434 คน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 โดยวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากคำถามปลายเปิดในประเด็นรายละเอียดที่ต้องการร้องเรียน ติชม หรือเสนอแนะ ผลการศึกษา พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่ในระดับการปรึกษา ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สัดส่วนความคิดเห็นแบ่งเป็น 3 ประเด็น คือ ร้องเรียน 1,234 เรื่อง (ร้อยละ 86.05) ชมเชย 126 เรื่อง (ร้อยละ 8.79) และเสนอแนะ 74 เรื่อง (ร้อยละ 5.16) จากการดำเนินการข้างต้นตลอดปี 2567 ในปี 2568 ได้มีการสำรวจความพึงพอใจในการให้บริการเรือคลองแสนแสบ มีคะแนนเฉลี่ย 3.597 (ร้อยละ 71.94) มีความพึงพอใจสูงสุดเมื่อเทียบกับสถิติผลการสำรวจย้อนหลัง 5 ปี การศึกษานี้จึงช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างดี โดยเสนอแนะให้เพิ่มระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน ไปสู่ระดับความร่วมมือที่มากขึ้นการพัฒนาระบบตอบกลับอัตโนมัติ และเผยแพร่ผลการดำเนินงานเพื่อสร้างความโปร่งใสและเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> ศุภรัตน์ ดิษบรรจง, สถิระ ชัยชนะกลาง, พิทักษ์ วงแหวน, ธีระศิลป์ เมฆเกษม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4990 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความรู้ในยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์: ความท้าทายสำหรับองค์การเพื่อความเป็นเลิศ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4892 <p>บทความวิชาการนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อทบทวนการจัดการความรู้ ในฐานะที่เป็นเครื่องมือจัดการคนในองค์การให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์การ ทั้งยังช่วยให้กระบวนการจัดการความรู้ในองค์การประสบความสำเร็จ ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่า การจัดการความรู้เป็นกระบวนการเสริมสร้างและแบ่งปันความรู้ ทั้งแบบความรู้ฝังลึกและความรู้ชัดแจ้ง ขณะที่ความเป็นเลิศขององค์การจำแนกออกเป็น 1) ด้านคน คือ ผู้บริหารองค์การต้องมีความเชื่อในคุณค่าของคนและองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์การ เข้าใจในแนวคิดและตระหนักถึงประโยชน์ที่องค์การจะได้รับจากการจัดการความรู้ มุ่งมั่นและสนับสนุนการจัดการความรู้อย่างจริงจัง พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเชื่อมโยงแนวคิดการจัดการความรู้ไปสู่การปฏิบัติ 2) ด้านระบบ คือ การมีความพร้อมในการสร้างและปลูกฝังวัฒนธรรมองค์การที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดความรู้เชิงสร้างสรรค์ และการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือรวบรวมและส่งต่อองค์ความรู้ การปรับปรุงและพัฒนาการจัดการความรู้ให้มีประสิทธิภาพ สามารถนำองค์การไปสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน กอปรกับการเรียนรู้ร่วมกันและการตระหนักรู้ระบบจัดการความรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้คนและองค์การอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ในระดับของความเป็นเลิศ</p> ประคอง สุคนธจิตต์, วิเชียร จันทะเนตร, พัชรี ทองสุก, ชุติพัฒน์ วงศ์ชัยสุวรรณ, ปภังกร ปิยนราวิชญ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4892 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความรู้ความเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกค้าในเครือบริษัทธรรมนิติ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4667 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้ความเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกค้าในเครือบริษัทธรรมนิติ 2) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจำแนกตามรูปแบบธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม ระดับตำแหน่ง ระยะเวลาที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และรายได้ของกิจการต่อปี กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่เคยใช้บริการบริษัทในเครือธรรมนิติ จำนวน 400 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น ด้วยเทคนิควิธีอาศัยความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกค้าในเครือบริษัทธรรมนิติ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และจำแนกตาม 1) รูปแบบธุรกิจ และอุตสาหกรรม พบว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน และอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านบทกำหนดลงโทษ 2) ระดับตำแหน่ง และระยะเวลาที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม พบว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีระดับตำแหน่งแตกต่างกัน และมีระยะเวลาที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาพรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านหลักเกณฑ์ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้านกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้านการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มการยื่นแบบ และการชำระภาษี ด้านหลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษี การจัดทำรายงานและการเก็บรักษาหลักฐานและเอกสารรวมถึง รวมถึงด้านบทกำหนดโทษ 3) รายได้ต่อปี พบว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีรายได้ต่อปีที่แตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยรวม และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านหลักเกณฑ์ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ด้านกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และด้านบทกำหนดโทษ</p> ปริณดา ใบแก้ว, ธำรงศักดิ์ เศวตเลข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4667 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4462 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียน 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารกับคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษา จำนวน 430 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นภาวะผู้นำทางวิชาการเท่ากับ .951 ค่าความเชื่อมั่นคุณภาพของนักเรียน เท่ากับ .930 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .966 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) คุณภาพของนักเรียนในโรงเรียน ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก</p> มุกรวี ราชปรีชา, ฐิติพัฒน์ หิรัญนิธิธำรง, สมชัย พุทธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/JMSSNRU/article/view/4462 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700