วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ <div><strong>วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง</strong> จัดทำโดย สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความที่มีคุณภาพสูงในด้านนิติศาสตร์ทุกสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย และนักวิชาการทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง</div> en-US natdanai.nac@mfu.ac.th (Ajarn Natdanai Nachan) jatuporn.chu@mfu.ac.th (Miss Jatuporn Chummano (Manager)) Sun, 20 Jul 2025 20:55:02 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 976/2567 (การโฆษณาคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาทผ่านทางเว็บไซต์ข่าวออนไลน์) https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5342 <p>ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 332 (2) ได้บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจสั่งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาใน “หนังสือพิมพ์” ได้เองตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 976/2567 ได้วินิจฉัยไว้ว่า คำว่า “หนังสือพิมพ์” ย่อมปริวรรตไปตามยุคสมัย มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์ขึ้นโดยใช้กระดาษ แต่ยังมีความหมายรวมถึงข้อมูลข่าวสารเป็นตัวหนังสือที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ ซึ่งเผยแพร่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ด้วย จึงสั่งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาผ่านทาง “เว็บไซต์ข่าวออนไลน์” ด้วย บทความนี้ได้วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวบนฐานของหลักความชอบด้วยกฎหมายในกฎหมายอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัก “กฎหมายอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด” หรือ lex stricta และหลัก “กฎหมายอาญาต้องตราเป็นลายลักษณ์อักษร” หรือ lex scripta สุดท้ายบทความนี้ได้เสนอว่าควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับยุคสมัยและรองรับการสั่งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาผ่านทางเว็บไซต์ข่าวออนไลน์อย่างชัดเจน</p> วิวรรธน์ ดำรงค์กุลนันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5342 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความรับผิดชอบของธนาคารกรณีการหลอกลวงให้ทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5386 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรับผิดชอบของธนาคารกรณีการหลอกลวงให้ทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ โดยประเด็นปัญหาทางกฎหมายเกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเสียหายทางการเงินแก่ประเทศไทยเป็นมูลค่ามหาศาล และรูปแบบอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสียหายทางการเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของธนาคาร ผลการศึกษาพบว่า ภัยทางการเงินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรก การสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการทางการเงิน (Unauthorized Payment Fraud) และประเภทที่สอง การหลอกลวงให้ผู้ใช้บริการทางการเงินทำธุรกรรมด้วยตนเองโดยความสมัครใจ (Authorized Payment Fraud) สำหรับภัยทางการเงินประเภทแรก จากแนวคำพิพากษาของศาลชี้ว่า ความแตกต่างของ “ความรับผิดชอบของธนาคาร” กรณีมิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการทางการเงินใน “แอปพลิเคชันบัญชีเงินฝาก” กับกรณีสวมรอยทำธุรกรรมจาก “แอปพลิเคชันบัตรเครดิต” คือ กรณีสวมรอยทำธุรกรรมในแอปพลิเคชันบัญชีเงินฝากเจ้าของบัญชีและธนาคารต้องร่วมกันรับผิดชอบคนละครึ่ง ส่วนกรณีสวมรอยทำธุรกรรมจากแอปพลิเคชันบัตรเครดิตเป็นความรับผิดชอบของธนาคารแต่เพียงผู้เดียวต่อความเสียหายทั้งหมด ส่วนภัยทางการเงินประเภทที่สองยังไม่มีแนวคำพิพากษาที่วินิจฉัยในประเด็นความรับผิดชอบของธนาคาร แต่ได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเพื่อแก้ปัญหาอย่างฉุกเฉินเร่งด่วน โดยมุ่งคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียไปซึ่งทรัพย์สิน ผ่านโทรศัพท์หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และในพระราชกำหนดที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 ได้มีการวางหลักให้สถาบันการเงินร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Shared Responsibility)</p> สุวลักษณ์ ขันธ์ปรึกษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5386 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 กฎหมายการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์: ศึกษาเฉพาะกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4101 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางสากลในการบัญญัติกฎหมายการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามคำแนะนำขององค์กรด้านประชาธิปไตย เพื่อศึกษากฎหมายการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา (มลรัฐฟลอริดา) ประเทศอินเดีย ประเทศออสเตรเลีย (เขตปกครองนครหลวงออสเตรเลีย) และประเทศเอสโตเนีย และเพื่อเสนอแนะหลักเกณฑ์ทางกฎหมายของการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย การเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลักเกณฑ์ทางกฎหมายของการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ควรประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้ การรับรองการจัดการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การรับรองหลักการสำคัญของเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาใช้ บทนิยามศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงคะแนนเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ การทดสอบและรับรองเครื่องลงคะแนนเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ การมีเครื่องบันทึกกระดาษสำหรับตรวจสอบโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Voter Verifiable Paper Audit Trail - VVPAT) ขั้นตอนการลงคะแนนและการนับคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การรักษาความปลอดภัยของการลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ การตรวจสอบผลการเลือกตั้ง การคัดค้านและการอุทธรณ์การเลือกตั้ง การนับคะแนนใหม่ การเก็บรักษาข้อมูลการลงคะแนน บทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืน<br />การเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเข้าถึงของผู้มีส่วนได้เสีย และความรับผิดชอบของผู้ขายอุปกรณ์การเลือกตั้งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ </p> <p> ข้อเสนอแนะของการวิจัย ได้แก่ ควรแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยเพิ่มหมวด 5.1 การออกเสียงลงคะแนนและการนับคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ </p> มุก จันทร์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4101 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4553 <p> การวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพัฒนาการ ปัญหา และอุปสรรคของการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหลักกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศกับร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยผสมผสานกระบวนทั้งการวิจัยเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม โดยผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะดังเช่นในต่างประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศญี่ปุ่น การจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ จึงต้องนำกฎหมายที่มีอยู่มาปรับใช้ ซึ่งไม่ครอบคลุมวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ฯ และมีประสิทธิภาพเพียงพอ กรมควบคุมมลพิษจึงดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ภายใต้แนวคิดของหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ตามแนวทางของต่างประเทศ อย่างไรก็ดี คณะผู้วิจัยเห็นว่า ร่างฯ ดังกล่าว ยังมีประเด็นที่ควรแก้ไขเพิ่มเติมบางประการ อาทิ การกำหนดขอบเขตบังคับใช้ บทนิยาม กลไกในการกำกับดูแล และบทกำหนดโทษ จึงเสนอแนวทางให้กำหนดชนิดและประเภทผลิตภัณฑ์ฯ ปรับปรุงบทนิยามผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่าย เพิ่มเติมโครงสร้างของคณะกรรมการและกองทุน รวมไปถึง เพิ่มเติมบทบัญญัติในการกำหนดเป้าหมายการเก็บรวบรวม การขึ้นทะเบียนผู้เกี่ยวข้อง การจัดตั้งศูนย์รับคืนที่เอื้อต่อผู้ประกอบการอิสระ นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาวิจัยศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงงานจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เพิ่มเติม รวมไปถึงการส่งเสริมแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความตระหนักรู้แก่ทุกภาคส่วนในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่ถูกต้องตามหลักวิซาการ อันจะส่งผลดีต่อสุขอนามัยของประชาชนและระบบนิเวศ ทั้งยังเป็นการสร้างความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice) ต่อประเทศและสังคมโดยรวม</p> พรเพ็ญ ไตรพงษ์, เบญจวรรณ ธรรมรัตน์, ภูมิ มูลศิลป์, วิชชากร จารุศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4553 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศใหม่ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับ กฎหมายอวกาศระหว่างประเทศ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4850 <p> เศรษฐกิจอวกาศใหม่กำลังมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ซึ่งกำลังมีแนวโน้มพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศใหม่จำเป็นต้องอาศัยกรอบทางกฎหมายอวกาศระหว่างประเทศที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติผ่านสนธิสัญญาฉบับสำคัญ ได้แก่ สนธิสัญญาอวกาศ ค.ศ. 1967, ความตกลงช่วยเหลือและส่งคืน ค.ศ. 1968, อนุสัญญาความรับผิด ค.ศ. 1972, และอนุสัญญาจดทะเบียน ค.ศ. 1975 รวมถึงการพิจารณาบทบัญญัติของความตกลงดวงจันทร์ ค.ศ. 1979 ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในระดับสากล และมีข้อจำกัดบางประการที่อาจไม่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศของไทย แต่ก็ยังมีคุณค่าในการนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่อประเมินความเหมาะสมในการกำหนดทิศทางกฎหมายและนโยบายอวกาศของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงอาร์ทีมิส และสถานีวิจัยนานาชาติบนดวงจันทร์</p> <p> เศรษฐกิจอวกาศใหม่ของไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเศรษฐกิจอวกาศใหม่ภาคปลายน้ำ เช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียมสื่อสาร การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จากระบบการหาตำแหน่งทั่วโลก (จีพีเอส) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดกฎหมายอวกาศแห่งชาติ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนและการกำกับดูแลกิจกรรมอวกาศอย่างเป็นระบบ ดังนั้น บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์กรอบกฎหมายอวกาศระหว่างประเทศ และแนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศใหม่อย่างยั่งยืน โดยเน้นความสำคัญของการกำหนดกฎหมายอวกาศแห่งชาติที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชน เพิ่มโอกาสการลงทุน และเสริมสร้างศักยภาพของไทยในเวทีเศรษฐกิจอวกาศโลก</p> สุวิจักขณ์ จันดาพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4850 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 การป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทบสิทธิมนุษยชน ในภาคปฏิบัติตามปกติของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (ในชั้นก่อนฟ้องและชั้นพิจารณาพิพากษาคดี) https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5125 <p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาและวิเคราะห์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเน้นพฤติกรรมการ “ละเลย” หรือ “เพิกเฉย” ต่อสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมและประสิทธิภาพของกระบวนการดังกล่าว งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการศึกษาวรรณกรรม เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายสากลของประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส ตลอดจนสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมกลุ่มย่อยกับผู้เชี่ยวชาญในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการละเลยสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ได้แก่ (1) ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่มีอคติล่วงหน้า (2) แนวปฏิบัติที่ปฏิบัติกันมาโดยมิได้แก้ไขปรับปรุง (3) ข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชน (4) การขาดความตระหนักของเจ้าหน้าที่ต่อสิทธิของผู้เกี่ยวข้องในคดีอาญา และ (5) การขาดแคลนทรัพยากรรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่จำกัด</p> <p>จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาและแนวปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ชั้นตำรวจ ชั้นพนักงานอัยการ และชั้นศาล พบว่ามีจุดอ่อนสำคัญ เช่น การเรียกผู้ต้องหามาเป็นพยานก่อนแจ้งข้อกล่าวหา การสอบสวนที่กระทบความเป็นส่วนตัว การสอบปากคำโดยไม่คำนึงถึงสภาพของผู้เสียหายและพยาน การขอฝากขังโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้ต้องหา และการดำเนินคดีที่ล่าช้าโดยไม่จำเป็น งานวิจัยนี้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ได้แก่ การปรับปรุงระเบียบปฏิบัติให้สะท้อนเจตนารมณ์ของสิทธิมนุษยชน การพัฒนากลไกกำกับดูแล การเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส และการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชน</p> <p>ข้อเสนอแนะของงานวิจัยมุ่งเน้นการปรับปรุงแนวปฏิบัติในกรอบของกฎหมายปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายชั้นพระราชบัญญัติขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในระยะเวลาอันใกล้ และเสริมสร้างระบบยุติธรรมทางอาญาของไทยให้มีความสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนในระดับสากล</p> คณพล จันทน์หอม, ชัชพล ไชยพร, ปราโมทย์ เสริมศีลธรรม, ณัชพล จิตติรัตน์, Lasse Schuldt ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5125 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 โอกาสและประสบการณ์การศึกษากฎหมายในญี่ปุ่น: มุมมองจากโครงการ Young Leaders’ Program (YLP) สาขากฎหมาย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5089 <p>บทความนี้นำเสนอประสบการณ์ของผู้เขียนในฐานะพนักงานอัยการของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ Young Leaders’ Program (YLP) สาขากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโครงการทุนการศึกษาภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น (MEXT) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียให้มีศักยภาพในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในบริบทระหว่างประเทศ บทความนี้ให้ภาพรวมของโครงสร้างหลักสูตรกฎหมายเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างประเทศ (International Economic and Business Law: IEBL) เนื้อหาวิชาบังคับและวิชาเลือกที่เชื่อมโยงกับกฎหมายเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความยั่งยืน การฝึกงานเชิงเปรียบเทียบ กระบวนการจัดทำวิทยานิพนธ์ ระบบการประเมินผลที่เน้นการมีส่วนร่วม การคิดวิเคราะห์ และการเชื่อมโยงกับการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ ตลอดจนนำเสนอมุมมองที่ได้รับจากการเรียนร่วมกับนักศึกษาต่างชาติ นอกจากนี้ ยังนำเสนอข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการในอนาคต และเสนอแนวทางการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐเพื่อที่จะนำความรู้จากต่างประเทศกลับมาพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า โครงการ YLP ไม่เพียงแต่ยกระดับศักยภาพของบุคลากรภาครัฐไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างเครือข่ายและเปิดวิสัยทัศน์ให้กับผู้เข่าร่วมในบริบทระหว่างประเทศ</p> โชคชัย เนตรงามสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5089 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ค้อน: สัญลักษณ์และความชอบธรรมของอำนาจตุลาการ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5266 <p>“ผู้พิพากษาไทยใช้ค้อนในห้องพิจารณาคดีเหมือนในต่างประเทศหรือไม่?” “ผู้พิพากษาไทยเก็บค้อนไว้ตรงไหน?” “หากไม่มีค้อนแล้วผู้พิพากษาจะควบคุมการพิจารณาคดีอย่างไร?” คำถามเรียบง่ายที่ผู้เขียนมักได้รับจากบุคคลทั่วไป นำไปสู่คำถามต่อไปว่าอะไรคือสิ่งที่สะท้อนถึงอำนาจและความชอบธรรมของอำนาจตุลาการในบริบทประเทศไทย บทความนี้มุ่งเล่าเรื่องประวัติศาสตร์และบทบาทของค้อนในกระบวนยุติธรรมในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนวิเคราะห์ผ่านทฤษฎีความเอนเอียงเชิงบวก (Positivity Theory) ที่นำเสนอว่าสัญลักษณ์และพิธีกรรมของศาล เช่น ชุดครุย ค้อน อาคารศาลที่โอ่อ่าเสมือนวิหาร คำเรียกขานและพิธีกรรมยกย่อง เป็นต้น เป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกของประชาชนที่มีต่ออำนาจตุลาการตลอดจนเพิ่มการยอมรับต่อคำพิพากษาแม้ในกรณีที่ประชาชนอาจไม่เห็นด้วยกับผลลัพธ์ของคดีโดยไม่ต้องพิจารณาเหตุผลอย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตามบทความนี้ชวนผู้อ่านตั้งคำถามต่อไปว่าสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความชอบธรรมและความเชื่อมั่นศรัทธาต่ออำนาจตุลาการแท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่</p> ภรณี เกราะแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/5266 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ข้อเสนอการจดทะเบียนสุนัขจรและแมวจรในชุมชนศึกษาเปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายของสิงคโปร์และไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4528 <p> ปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมจำนวนประชากรสุนัขจรและแมวจร โดยมีการรณรงค์ให้มีการทำหมันอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ถึงการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อป้องกันการทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสุนัขจรและแมวจรในชุมชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจำนวนสุนัขจรและแมวจรที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราการแพร่โรคพิษสุนัขบ้าสู่คนเพิ่มสูงขึ้น จากรายงานสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567) พบผลบวกต่อโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ที่มีการส่งตรวจในปี พ.ศ. 2567 จากสุนัข 229 ตัว และแมว 8 ตัว ในขณะที่พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าที่ถูกกัดในประเทศถึง 4 ราย ทั้งที่สามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวได้ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงก็โดยอาศัยความร่วมมือในการป้องกันโรคทั้งในคนและในสัตว์ ซึ่งการป้องกันโรคในสัตว์ที่สำคัญเร่งด่วน คือการใช้กลไกการให้วัคซีนให้ครอบคลุมเกินกว่าร้อยละ 80 แก่สัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นกลไกที่จะเกิดขึ้นได้ภายหลังจากการสามารถการควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยงและการติดตามและควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยงได้นั่นเอง </p> <p> บทความนี้ได้วิเคราะห์รูปแบบการควบคุมการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเทียบเคียงกับประเทศสิงคโปร์โดยเห็นว่า การออกกฎโดยใช้กลไกระดับท้องถิ่นมีความเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมในแต่ละพื้นที่ได้ และการใช้ระบบจดทะเบียนที่มุ่งเน้นการทราบข้อมูลจำนวนสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนควรใช้เฉพาะในระยะแรกเท่านั้น และควรนำเอาระบบอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมาพิจารณาปรับใช้เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของผู้จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ตลอดกระบวนการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันการทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องรูปแบบการจดทะเบียนสุนัขจรและแมวจรในนามของชุมชนเพื่อเป็นหลักฐานสะท้อนที่มาของสุนัขจรและแมวจรเหล่านั้น ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยเอื้ออำนวยให้การควบคุมจำนวนสุนัขและแมวในภาพรวมของประเทศเป็นไปโดยรอบด้าน อีกทั้งการเสนอให้มีการจดทะเบียนสุนัขจรและแมวจรในนามของชุมชนจะช่วยป้องกันการหลงลืมและผลักภาระให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และกระตุ้นให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการจำนวนประชากรสุนัขจรและแมวจรในชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งจะทราบจำนวนสุนัขจรและแมวจรที่แท้จริงเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรและการป้องกันทางสาธารณสุขของหน่วยงานในท้องถิ่นต่อไป</p> มุทิตา สารพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4528 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความท้าทายทางกฎหมายในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้หลักเกณฑ์การกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลในพระราชบัญญัติส่งเสริม การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4615 <p> ด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีอยู่ในปัจจุบันส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งการดำรงชีพของสัตว์ทะเล ระบบโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตในทะเล รวมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตในทะเล ทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรกลายเป็นประเด็นหนึ่งที่รัฐต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตามการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลเป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความสำคัญในการส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล แต่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังกล่าวกลับไม่ถูกพิจารณาในมาตรการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ซึ่งการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการวางหลักเกณฑ์การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเลจากกิจกรรมของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอความท้าทายของการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อระบบนิเวศทางทางทะเล บทความฉบับนี้พบว่าหลักเกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่คุ้มครองทางทะเลตามพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยส่งเสริมกระบวนการบรรเทาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าพระราชบัญญัติฯ จะมีข้อกำหนดที่ในการจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองทางทะเลไว้เป็นการทั่วไปก็ตาม</p> ประดิภา สุวรรณรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4615 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 กฎหมาย จริยธรรมและแนวคิดทางศาสนาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในประเทศอิตาลี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4567 <p> สัตว์เลี้ยงมีบทบาทสำคัญในสังคมปัจจุบัน แต่การจัดประเภททางกฎหมายและสิทธิของสัตว์เลี้ยงมักขาดความสอดคล้องกัน บทความนี้วิเคราะห์กรอบกฎหมายของประเทศอิตาลีเกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยแนวทางการดูแลสัตว์เลี้ยงและมาตรการลงโทษ เช่น การปรับเงินและจำคุกสำหรับการทารุณสัตว์ การปฏิรูปกฎหมายเมื่อไม่นานมานี้เน้นการเพิ่มการกำกับดูแลของรัฐ การตรวจสอบจากสาธารณะและการควบคุมดูแลสถานสงเคราะห์สัตว์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กฎหมายอิตาลีรับรองผลประโยชน์ของสัตว์ผ่านการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญ โดยถือว่าสวัสดิภาพของสัตว์มีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ แม้จะมีความก้าวหน้าด้านกฎหมายเหล่านี้ แต่กฎหมายอิตาลีก็ยังไม่ยอมรับสถานะของสัตว์อย่างเป็นทางการว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเป็นมาตรฐานที่บางประเทศในยุโรปนำมาใช้แล้ว อย่างไรก็ดี บทความนี้ยังได้ประเมินอิทธิพลของคำสอนทางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีต่อทัศนคติของประชาชนเกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์ในอิตาลี นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางการปฏิรูปกฎหมาย 2 ข้อ ข้อเสนอแรก คือ ควรมี “ข้อตกลงการดูแลและสวัสดิภาพสัตว์เลี้ยง” เพื่อคุ้มครองสัตว์ในกรณีที่เจ้าของแยกทางหรือหย่าร้าง และข้อเสนอที่สอง คือ ควรกำหนดให้มีการประเมินทางจิตวิทยาและให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทารุณสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยงในการกระทำผิดซ้ำอีกในอนาคต</p> ฟาบิโอ แคลโซลารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4567 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความสามารถในการบังคับใช้ข้อจำกัดการโอนบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตในประเทศไทย: มุมมองทางกฎหมายว่าด้วยสัญญาและการคุ้มครองผู้บริโภค https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4648 <p> การเพิ่มขึ้นของข้อจำกัดทางสัญญาในการโอนบัตรคอนเสิร์ตในประเทศไทยได้ก่อให้เกิดประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับการบังคับใช้ข้อจำกัดเหล่านั้นภายใต้กฎหมายว่าด้วยสัญญาและการคุ้มครองผู้บริโภคของไทย บทความนี้ศึกษาความชอบด้วยกฎหมายของข้อจำกัดห้ามโอนบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต โดยพิจารณาถึงขอบเขตของข้อจำกัดดังกล่าวว่าสอดคล้องหรือขัดแย้งกับหลักเสรีภาพในการทำสัญญาและการคุ้มครองผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด รวมถึงบทบาทของศาลต่อข้อสัญญามาตรฐานเหล่านั้นด้วย เพราะแม้ว่าหลักสัญญาต้องเป็นสัญญา (Pacta Sunt Servanda) จะรองรับการบังคับใช้ข้อตกลงตามสัญญา แต่พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ก็ได้กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมซึ่งอาจก่อให้เกิดภาระที่ไม่สมส่วนแก่ผู้บริโภคไว้ด้วยเช่นกัน</p> <p> บทความนี้เห็นว่า ข้อจำกัดห้ามโอนบัตรคอนเสิร์ตอาจเข้าข่ายเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อจำกัดดังกล่าวได้กำหนดบทลงโทษที่เกินสมควร อันเป็นผลให้เกิดการจำกัดสิทธิของผู้บริโภคโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือสร้างความไม่สมดุลของอำนาจการต่อรองระหว่างคู่สัญญาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ลักษณะทางกฎหมายของการโอนบัตรคอนเสิร์ตว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 แล้ว พบว่าความสามารถในการบังคับใช้ข้อจำกัดทางสัญญาดังกล่าวในทางกฎหมายอาจถูกโต้แย้งได้ โดยผลการศึกษากฎหมายเปรียบเทียบของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเหตุผลทางธุรกิจต่างๆ เช่น การป้องกันการฉ้อโกง จะสามารถยกขึ้นอ้างเป็นเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการจำกัดสิทธิการโอนบัตรคอนเสิร์ต แต่ข้อจำกัดการขายต่อบัตรที่มีลักษณะกว้างเกินสมควรอาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมได้ โดยเฉพาะเมื่อขัดต่อหลักความได้สัดส่วนหรือส่งผลให้เกิดการจำกัดการแข่งขันทางการค้า เช่นนี้ บทความนี้จึงเห็นว่า ศาลไทยควรตีความข้อจำกัดทางสัญญาเหล่านั้นโดยคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนเป็นสำคัญ เพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างเหตุผลทางธุรกิจและมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> จากผลการวิเคราะห์การตีความของศาลและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค บทความนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลด้านกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันการกำหนดข้อสัญญาที่จำกัดสิทธิผู้บริโภคเกินสมควร โดยเสนอให้ศาลไทยควรเพิ่มระดับการพิเคราะห์ข้อสัญญาในเชิงเนื้อหาอย่างเข้มข้น รวมถึงสนับสนุนการสร้างระบบการขายต่อบัตรที่โปร่งใสและเป็นระบบระเบียบที่จะสามารถป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาแนวทางในการกำหนดขอบเขตข้อสัญญาที่จำกัดสิทธิการโอนหรือขายต่อบัตรคอนเสิร์ตภายใต้กฎหมายไทยให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น</p> นวลจันทร์ แจ้งจิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MFULJ/article/view/4648 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700