https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/issue/feed วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-01-06T10:01:20+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร. ณัฐ อมรภิญโญ msudru.journal@udru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี</strong></p> <p><strong>E-ISSN:</strong> 3056-9125 (Online)</p> <h3><strong><u>กำหนดการเผยแพร่ 6 ฉบับต่อปี</u></strong></h3> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์ (กำหนดออกเดือนกุมภาพันธ์)</li> <li>ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน (กำหนดออกเดือนเมษายน)</li> <li>ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน (กำหนดออกเดือนมิถุนายน)</li> <li>ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม (กำหนดออกเดือนสิงหาคม)</li> <li>ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม (กำหนดออกเดือนตุลาคม)</li> <li>ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม (กำหนดออกเดือนธันวาคม)</li> </ul> <p><strong><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </span></span></strong><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในกลุ่มสาขาต่าง ๆ ดังนี้</span></span></p> <ul> <li>บริหารธุรกิจ</li> <li>การจัดการทั่วไป</li> <li>นิเทศศาสตร์</li> <li>การบัญชี</li> <li>เศรษฐศาสตร์</li> <li>การจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยว</li> <li>สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</li> </ul> <p><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">ซึ่งเป็นผลงานจากบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและผู้เขียนจากหน่วยงานภายนอก เพื่อเป็นการเผยแพร่และส่งเสริมการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และบุคคลทั่วไป โดยบทความที่ได้รับการตีพิมพ์นั้น ล้วนผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะศาสตร์</span></span></p> https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3295 กลยุทธ์การพัฒนาองค์กรแบบยั่งยืน: แนวทางและประสบการณ์ 2024-08-23T10:38:49+07:00 เอื้อมเดือน แก้วสว่าง toon3025@hotmail.com วราดวง สมณาศักดิ์ waraduang.som@crru.ac.th <p>การปรับตัวและพัฒนาองค์กรให้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในสภาวะที่โลกปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน เป็นเรื่องที่องค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก บทความนี้ได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์หลักการเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรแบบยั่งยืน โดยเน้นการรวมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ผ่านการศึกษากรณีขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ บทความนี้แสดงให้เห็นถึงความรู้และประสบการณ์ที่สามารถช่วยให้องค์กรอื่น ๆ ออกแบบและดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาแบบยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิผล</p> <p>ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การมีส่วนร่วมของพนักงานในทุกระดับ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการวางแผนและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรแบบยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างความสมดุลในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม องค์กรจำเป็นต้องบริหารเงินทุนและองค์ความรู้ภายในอย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาพนักงานและสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภายนอก เช่น พันธมิตรทางธุรกิจและการแบ่งปันทรัพยากร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจและการเพิ่มยอดขายถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ บทความนี้มุ่งเสนอวิธีการและแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารและผู้นำองค์กรที่ต้องการนำพาองค์กรเข้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความสำเร็จและความมั่นคงในระยะยาวสำหรับองค์กรในยุคสมัยใหม่</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/2982 การศึกษาสมรรถนะครูอนุบาลโดยอาศัยการสัมภาษณ์เหตุการณ์เชิงพฤติกรรม เพื่อการจัดการสู่ความเป็นเลิศ 2025-01-06T10:01:20+07:00 เป่าจวิ้น ลวี่ supartcha.dsw@gmail.com <p>สมรรถนะของครูระดับอนุบาลเป็นกุญแจสำคัญในการรับรองการพัฒนาคุณภาพสูงของการศึกษาระดับปฐมวัย การศึกษานี้มีเป้าหมายเพื่อสำรวจองค์ประกอบของสมรรถนะครูอนุบาล โดยได้สัมภาษณ์ครูอนุบาลจำนวน 20 คน ในมณฑล G ของประเทศจีน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เหตุการณ์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Event Interview) การวิเคราะห์หัวข้อและการวิเคราะห์เนื้อหาได้ถูกนำมาใช้เพื่อระบุหัวข้อและการเข้ารหัสสมรรถนะของครูอนุบาล หลังการวิเคราะห์เชิงสถิติพบว่า สมรรถนะของครูอนุบาลประกอบด้วยองค์ประกอบ 54 ประการ เช่น ความซื่อสัตย์ ความรัก การยอมรับวัฒนธรรม ทักษะการศึกษาและการสอน การเข้าใจผู้อื่น การใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์สูงสุด การควบคุมตนเอง และการใฝ่รู้ จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงลำดับชั้น พบว่าองค์ประกอบสมรรถนะทั้ง 54 ประการนี้สามารถจำแนกได้เป็น 8 คุณลักษณะ ได้แก่ ลักษณะส่วนบุคคล, จรรยาบรรณวิชาชีพ, ความรอบรู้ทางวัฒนธรรม, ความรู้และทักษะวิชาชีพ, การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์, ความสามารถในการสร้างผลสำเร็จ, ภาพลักษณ์ของตนเอง และ การมุ่งสู่ความเป็นเลิศ จะเห็นได้ว่าสมรรถนะของครูอนุบาลเป็นโครงสร้างเชิงมิติหลายชั้น ที่ประกอบด้วยลักษณะส่วนบุคคล จรรยาบรรณวิชาชีพ ความรอบรู้ทางวัฒนธรรม ความรู้และทักษะวิชาชีพ การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ ความสามารถในการสร้างผลสำเร็จ ภาพลักษณ์ของตนเอง และการมุ่งสู่ความเป็นเลิศ</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3136 ปัจจัยที่มีผลต่อการตั้งใจคงอยู่ของพนักงานหญิงในธุรกิจโรงแรม : กรณีศึกษาเครือโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศไทย 2024-07-11T11:50:27+07:00 นพรัตน์ อำภา kaiampa68@gmail.com วงศ์ลัดดา วีระไพบูลย์ wongladdaweerapaiboon@gmail.com วิโรจน์ เจษฐาลักษณ์ viroj_jade@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการสนับสนุนความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรในส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม การให้ความสำคัญต่อความเป็นเพศหญิงในการแข่งขันทางอาชีพ การพัฒนาอาชีพของบุคคลากร และความสมดุลงานและครอบครัวกับคุณภาพชีวิต ต่อความตั้งใจคงอยู่ของพนักงานหญิงในธุรกิจ และ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่งผลต่อการตั้งใจคงอยู่ของพนักงานหญิงในธุรกิจโรงแรม กรณีศึกษาเครือโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานหญิงของเครือโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศไทย จำนวน 400 คน ด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรในประเด็นท้าทายต่างๆ ของการทำงานของพนักงานหญิง ได้แก่ การสนับสนุนความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรในการส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม การให้ความสำคัญต่อความเป็นเพศหญิงในการแข่งขันทางอาชีพ การพัฒนาบุคลากร และความสมดุลงาน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการตั้งใจคงอยู่ของพนักงานหญิงในธุรกิจโรงแรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) การรับรู้การสนับสนุนจากองค์กร ได้แก่ การสนับสนุนความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน การพัฒนาบุคลากร และความสมดุลงาน ครอบครัว และคุณภาพชีวิตมีอิทธิพลต่อการตั้งใจคงอยู่ของพนักงานหญิงในธุรกิจโรงแรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/2713 การพัฒนาศักยภาพศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ 2024-07-11T11:29:36+07:00 เกษม เปนาละวัด touchpe2020@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จและมีแนวปฏิบัติที่ดี และศึกษาการพัฒนาศักยภาพศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน เป็นการวิจัยแบบผสาน (Mixed Metบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จและมีแนวปฏิบัติที่ดี และศึกษาการพัฒนาศักยภาพศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน เป็นการวิจัยแบบผสาน (Mixed Method) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเป็น ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ผลการวิจัย พบว่า ด้านศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษจัดตั้งเพื่อจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์และสร้างเครือข่ายให้เกิดความยั่งยืน ด้านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จ (Best Practice) คือ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย สินค้าได้รับมาตรฐานและจ่ายเงินปันผล ด้านการพัฒนาศักยภาพได้นำสมาชิกในศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตร จำนวน 20 คน อบรมการเขียนแผนธุรกิจ โดยใช้ Business Model Canvas เป็นต้นแบบ ผลการทดสอบผู้เข้าอบรม (Pre-Test) พบว่า ความรู้ความเข้าใจในระดับ ปานกลาง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.75 และการทดสอบผู้เข้าอบรม (Post-Test) พบว่า ความรู้ความเข้าใจในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.45hod) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเป็น ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ผลการวิจัย พบว่า ด้านศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชนจังหวัดศรีสะเกษจัดตั้งเพื่อจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์และสร้างเครือข่ายให้เกิดความยั่งยืน ด้านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จ (Best Practice) คือ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย สินค้าได้รับมาตรฐานและจ่ายเงินปันผล ด้านการพัฒนาศักยภาพได้นำสมาชิกในศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตร จำนวน 20 คน อบรมการเขียนแผนธุรกิจ โดยใช้ Business Model Canvas เป็นต้นแบบ ผลการทดสอบผู้เข้าอบรม (Pre-Test) พบว่า ความรู้ความเข้าใจในระดับ ปานกลาง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.75 และการทดสอบผู้เข้าอบรม (Post-Test) พบว่า ความรู้ความเข้าใจในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.45</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/2560 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารของสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2023-12-06T15:35:17+07:00 คงณัฐ แย้มชุติ kongnat_g@hotmail.com โสภา อำนวยรัตน์ sopa.am@up.ac.th สันติ บูรณะชาติ santi.bu@up.ac.th น้ำฝน กันมา numfon.gu@up.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน และ 3) ประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) แบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์แบบเชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา จำแนกหมวดหมู่ ตีความ ถอดรหัส สังเคราะห์ และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม เป็นการยกร่างรูปแบบ และตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 18 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม เป็นการประเมินความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ของรูปแบบโดยผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน จำนวน 43 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน มี 7 องค์ประกอบ คือ 1) วิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง 2) การทำงานเป็นทีม 3) ความคิดสร้างสรรค์ 4) การมีส่วนร่วม 5) การสร้างบรรยากาศสังคมแห่งการเรียนรู้ 6) การบริหารความเสี่ยง และ 7) บรรยากาศแห่งองค์การนวัตกรรม และใช้กระบวนการพัฒนาตามหลักการบริหารคุณภาพ (PDCA) ผนวกกับวิธีการพัฒนา 3 วิธีการ คือ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาผ่านผู้อื่น และการพัฒนาผ่านประสบการณ์ทำงาน เป็นแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ซึ่งรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ส่วนที่ 2 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ได้แก่ กระบวนการพัฒนา และวิธีการพัฒนา และส่วนที่ 3 ปัจจัยความสำเร็จ โดยมีผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3582 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของลูกค้าโรงแรมระดับ 3 ดาว ในอำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี กรณีศึกษา 2024-09-24T10:20:51+07:00 ณัฐกานต์ รุ่งเรือง nattagant.ru@udru.ac.th ปริชญา อุดมผล parichaya@udru.ac.th ธีระพล คุณบุราณ teerapol.kh@udru.ac.th โชติกา นาคประสูตร chotika.na@udru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา ปัจจัยส่วนบุคคล ส่วนประสมทางการตลาดของธุรกิจโรงแรม และความจงรักภักดีของลูกค้าที่มาใช้บริการห้องพักโรงแรม 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคล ส่วนประสมทางการตลาดของธุรกิจโรงแรม และความจงรักภักดีของลูกค้าที่มาใช้บริการห้องพักสำหรับโรงแรมระดับ 3 ดาว ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการห้องพักในโรงแรมระดับ 3 ดาวแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 240 คน สุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของลิเคอร์ท (Likert Scale) มีค่าอำนาจำแนกรายข้อ ระหว่าง 0.284 - 0.801 และมีค่าความเที่ยงซึ่งวัดด้วยค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค (Alpha Cronbach Coefficient) เท่ากับ 0.924 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิกติก (Logistic Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า </p> <p> 1) . โดยภาพรวมลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรมระดับ 3 ดาว ในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี มีความพึงพอใจต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของโรงแรม ในระดับมาก เมื่อพิจารณาความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดแต่ละด้านพบว่า ความพึงพอใจต่อทุกด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านผลิตภัณฑ์ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p> 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรมระดับ 3 ดาว ในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ รายได้ ประเภทของห้องพัก ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด และสิ่งอำนวยความสะดวก</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3608 สมรรถนะที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการเป็นผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า และนิทรรศการของประเทศไทย: การประยุกต์ใช้โมเดลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2024-08-23T10:40:10+07:00 จิรพร จันลา jiraporn.junla@gmail.com อารีย์ นัยพินิจ arekul@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบโมเดลสมรรถนะที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าและนิทรรศการของประเทศไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามมีลักษณะแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าและนิทรรศการในประเทศไทย จำนวน 405 คน ด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย (Simple random sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาจาก ค่าไค-สแควร์สัมพัทธ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?x^{2}" alt="equation" /> /df) มีค่าเท่ากับ 1.68 ค่า GFI เท่ากับ 0.94 ค่า AGFI เท่ากับ 0.91 ค่า CFI เท่ากับ 0.99 ค่า SRMR เท่ากับ 0.029 และ ค่า RMSEA เท่ากับ 0.041 โดยสมรรถนะที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าและนิทรรศการของประเทศไทย ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านความรู้ในการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ ด้านทักษะผู้ประกอบการ ด้านคุณลักษณะผู้ประกอบการ ด้านทัศนคติส่วนบุคคล ด้านบรรทัดฐานทางสังคม และด้านการรับรู้ความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ</p> 2024-12-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี