วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal
<p><strong>วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี</strong></p> <p><strong>E-ISSN:</strong> 3056-9125 (Online)</p> <h3><strong><u>กำหนดการเผยแพร่ 6 ฉบับต่อปี</u></strong></h3> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์ (กำหนดออกเดือนกุมภาพันธ์)</li> <li>ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน (กำหนดออกเดือนเมษายน)</li> <li>ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน (กำหนดออกเดือนมิถุนายน)</li> <li>ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม (กำหนดออกเดือนสิงหาคม)</li> <li>ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม (กำหนดออกเดือนตุลาคม)</li> <li>ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม (กำหนดออกเดือนธันวาคม)</li> </ul> <p><strong><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </span></span></strong><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในกลุ่มสาขาต่าง ๆ ดังนี้</span></span></p> <ul> <li>บริหารธุรกิจ</li> <li>การจัดการทั่วไป</li> <li>นิเทศศาสตร์</li> <li>การบัญชี</li> <li>เศรษฐศาสตร์</li> <li>การจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยว</li> <li>สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</li> </ul> <p><span class="TextRun SCXW48558303 BCX8" lang="TH-TH" xml:lang="TH-TH" data-contrast="none"><span class="NormalTextRun SCXW48558303 BCX8" data-ccp-parastyle="Normal (Web)">ซึ่งเป็นผลงานจากบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและผู้เขียนจากหน่วยงานภายนอก เพื่อเป็นการเผยแพร่และส่งเสริมการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และบุคคลทั่วไป โดยบทความที่ได้รับการตีพิมพ์นั้น ล้วนผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะศาสตร์</span></span></p>
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (Faculty of Management Science, Udon Thani Rajabhat University)
th-TH
วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
3056-9125
<p><strong>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี</strong></p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้<br />ไม่ใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้จัดทำ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนบทความแต่ละท่าน</p>
-
ส่วนประสมทางการตลาดบริการและการตลาดเชิงประสบการณ์ที่ส่งผลต่อ การกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟ JPG จังหวัดกว่างโจว มลฑลกวางตุ้ง
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3965
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของส่วนประสมการตลาดบริการ การตลาดเชิงประสบการณ์และการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟ JPG และ 2) ส่วนประสมการตลาดบริการและการตลาดเชิงประสบการณ์ที่ส่งผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟ JPG ในจังหวัดกว่างโจว มลฑลกวางตุ้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผู้ที่เคยใช้บริการร้านกาแฟ JPG ในจังหวัดกว่างโจว มลฑลกวางตุ้ง จำนวน 385 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยของส่วนประสมการตลาดบริการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงจากมากไปน้อย พบว่า ด้านบุคลากรมากที่สุด รองลงมา คือ การส่งเสริมการตลาด ด้านการตลาดเชิงประสบการณ์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงจากมากไปน้อย พบว่า การตลาดจากประสาทสัมผัสมากที่สุด รองลงมา คือการตลาดจากการเชื่อมโยง และการตลาดจากความคิด ส่วนด้านการกลับมาใช้บริการซ้ำ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงจากมากไปน้อย พบว่า จะแนะนำให้ผู้อื่นมาใช้บริการ มากที่สุด รองลงมา คือ จะกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไปอย่างแน่นอน และจะบอกเล่าประสบการณ์ที่ดีจากการเข้าใช้บริการ ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า ส่วนประสมการตลาดบริการด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ด้านราคา และด้านบุคลากรส่งผลต่อการกลับมาบริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟ JPG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อธิบายค่าความผันแปรของประสมการตลาดบริการส่งผลต่อการกลับมาบริการซ้ำ ได้ร้อยละ 36 (R<sup>2</sup> = .360) และการตลาดเชิงประสบการณ์ พบว่า ด้านการตลาดจากการเชื่อมโยงและการตลาดจากการกระทำ ส่งผลต่อการกลับมาบริการซ้ำของลูกค้าร้านกาแฟ JPG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อธิบายค่าความผันแปรของประสมการตลาดบริการส่งผลต่อการกลับมาบริการซ้ำ ได้ร้อยละ 73.3 (R<sup>2</sup> = .733)</p>
รุนซี ซี่
ภาศิริ เขตปิยรัตน์
กุลยา อุปพงษ์
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
14
24
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด(7Ps)ที่มีผลต่อการตัดสินใจชื้ออาหารปรุงสด พร้อมทานในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/2941
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด(7Ps)ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสดพร้อมทาน ในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลในด้านเพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ จำนวนผู้ร่วมอาศัย อาชีพ และรายได้ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอาหารปรุงสดพร้อมทาน ในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด(7Ps)ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อออาหารปรุงสดพร้อมทาน ในร้านสะดวกซื้อในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายวิธี (Multi-stage Sampling) แบ่งเป็น 6 กลุ่มโดยแบ่งเขตตามการบริหารงานในเขตกรุงเทพมหานคร นำมาจับสลากเลือกเขตโดยนำเขตทั้งหมดใน 6 กลุ่มมาจับสลากเลือกเขตกลุ่มละ 1 เขต (Simple random sampling) ทำการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Proportional Stratified Random Sampling) ตามจำนวนสัดส่วนประชากรในแต่ละเขต และ คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive selection) แบบสอบถามมุ่งเน้นการเก็บข้อมูลเฉพาะผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เก็บรวบรวมข้อมูลโดยโดยใช้ QR Code Google Forms แล้วให้ทำแบบสอบถามผ่านโทรศัพท์มือถือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างตัวอย่า 2 กลุ่ม (t-test) และ ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีมากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไป (One-way ANOVA) โดยกรณีที่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะทำการทดสอบเป็นรายคู่ที่ระดับนัยสำคัญร้อยละ 0.05 หรือระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยใช้วิธี Fisher’s Least-Significant Difference (LSD) และทดสอบสมมติฐานของการวิจัยโดยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นตอนเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลในด้านเพศ อายุ สถานภาพ จำนวนผู้อยู่อาศัย การศึกษาที่แตกต่างกัน มีการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสดพร้อมทานในร้านสะดวกซื้อ ในเขตกรุงเทพมหานครไม่แตกต่างกัน ยกเว้นปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสดพร้อมทานในร้านสะดวกซื้อ ในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด(7Ps) ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสดพร้อมทานในร้านสะดวกซื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีทั้งหมด 5 ด้าน คือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านกระบวนการ ด้านบุคคล ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p>
อภิสิทธิ์ สุกนาค
ปาลิดา ศรีศรกำพล
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
40
55
-
ปัจจัยส่วนประปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วยในสถานการณ์แข่งขัน กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ กรณีศึกษา พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคามสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วยในสถานการณ์แข่งขัน กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ กรณีศึกษา พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/5443
<p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของร้านโชห่วยในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วยในสถานการณ์แข่งขันกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ และ (3) เพื่อศึกษาทัศนะของผู้ประกอบการร้านโชห่วยต่อความอยู่รอดของกิจการในสถานการณ์ปัจจุบัน งานวิจัยนี้เป็นวิจังานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของร้านโชห่วยในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วยในสถานการณ์แข่งขันกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ และ (3) เพื่อศึกษาทัศนะของผู้ประกอบการร้านโชห่วยต่อความอยู่รอดของกิจการในสถานการณ์ปัจจุบัน งานวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการร้านโชห่วยในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 39 ร้าน ด้วยแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า (1) ร้านโชห่วย ส่วนมากดำเนินกิจการมากกว่า 10 ปีแล้ว ตั้งอยู่ติดถนนหลักและเป็นทางสัญจรของผู้คน และร้านค้าตั้งในพื้นที่บ้านหรืออาคารส่วนตัวของเจ้าของกิจการ ผลกระทบของร้านเมื่อมีร้านสะดวกซื้อเข้ามาเพิ่มในพื้นที่ทำให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดมีรายได้ไม่เพิ่มจากเดิม (2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดทุกด้านมีผลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วย อยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลำดับอิทธิพลต่อการอยู่รอดจากมากไปหาน้อย คือ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สถานที่และช่องทางการขาย มีการส่งเสริมการตลาด และราคาเท่าหรือต่ำกว่าคู่แข่ง <br />(3) ผู้ประกอบการร้านโชห่วยมีความเห็นต่อความอยู่รอดของร้านในสถานการณ์การแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ คือ ร้านค้าจะต้องรักษาลูกค้าประจำไว้ด้วยการแสดงความเป็นมิตร และสร้างความเชื่อมั่นต่อร้านค้าของลูกค้ายเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการร้านโชห่วยในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 39 ร้าน ด้วยแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า (1) ร้านโชห่วย ส่วนมากดำเนินกิจการมากกว่า 10 ปีแล้ว ตั้งอยู่ติดถนนหลักและเป็นทางสัญจรของผู้คน และร้านค้าตั้งในพื้นที่บ้านหรืออาคารส่วนตัวของเจ้าของกิจการ ผลกระทบของร้านเมื่อมีร้านสะดวกซื้อเข้ามาเพิ่มในพื้นที่ทำให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดมีรายได้ไม่เพิ่มจากเดิม (2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดทุกด้านมีผลต่อความอยู่รอดของร้านโชห่วย อยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลำดับอิทธิพลต่อการอยู่รอดจากมากไปหาน้อย คือ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สถานที่และช่องทางการขาย มีการส่งเสริมการตลาด และราคาเท่าหรือต่ำกว่าคู่แข่ง <br />(3) ผู้ประกอบการร้านโชห่วยมีความเห็นต่อความอยู่รอดของร้านในสถานการณ์การแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ คือ ร้านค้าจะต้องรักษาลูกค้าประจำไว้ด้วยการแสดงความเป็นมิตร และสร้างความเชื่อมั่นต่อร้านค้าของลูกค้า</p>
สุวิช ถิระโคตร
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
56
67
-
คุณภาพการบริการหลักและคุณภาพการบริการเสริมส่งผลต่อการแชร์ข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ ผ่านการรับรู้คุณค่าทางจิตใจและคุณค่าทางเหตุผลของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์ ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/5444
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา คุณภาพการบริการหลักและคุณภาพการบริการเสริมส่งผลต่อการแชร์ข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ ผ่านการรับรู้คุณค่าทางจิตใจและคุณค่าทางเหตุผล ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณมีเครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี จำนวน 138 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์สัมประสิทธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีจำนวน 113 คน มีอายุเฉลี่ย 20-30 ปี จำนวน 65 คน อาชีพพบว่าส่วนใหญ่เป็น นักเรียน/นักศึกษา มีจำนวน 76 คน จำนวนครั้งที่มาเยี่ยมส่วนใหญ่มาครั้งแรกอยู่ที่ 74 คน และแหล่งข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ ส่วนมากคือ คนรู้จักแนะนำ อยู่ที่ 98 คน ระดับตัวแปรทั้งหมดภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับมากที่สุด และผลการทดสอบสมมุติฐานได้มีการยอมรับสมมุติฐานทั้ง 6 สมมุติฐาน โดยสมมุติฐานที่ 1 คุณภาพการบริการหลักส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าทางจิตใจ สมมุติฐานที่ 2 คุณภาพการบริการหลักส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าทางเหตุผล สมมุติฐานที่ 3 คุณภาพการบริการเสริมส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าทางจิตใจ สมมุติฐานที่ 4 คุณภาพการบริการเสริมส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าทางเหตุผล สมมุติฐานที่ 5 การรับรู้คุณค่าทางจิตใจส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าทางเหตุผล และ สมมุติฐานที่ 6 การรับรู้คุณค่าทางเหตุผลส่งผลเชิงบวกต่อการแชร์ข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ ผลการศึกษานี้สามารถเป็นข้อมูลให้ฝ่ายผู้บริหารทางการตลาดนำไปพัฒนา ด้านกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต</p>
ศิริวรรณ สนั่นเอื้อ
วิโรจน์ เจษฎาลักษณ์
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
68
86
-
การบูรณาการการบูรณาการระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3964
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการระบบเบิกจ่ายค่าตอบแทนและลดระยะเวลาในการดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ การบูรณาระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ เป็นการใช้ PHP Framework ด้วย CodeIgniter พร้อมกับเทคโนโลยี HTML, PHP, CSS, JavaScript, jQuery, และ Bootstrap ในการพัฒนาเว็บไซต์และจัดทำรายงาน ระบบฐานข้อมูลใช้ MySQL เพื่อเก็บข้อมูลการบันทึกเวลาการปฏิบัติงาน การวิจัยเป็นการบูรณาการระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการโดยการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของระบบทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่ ด้านประสิทธิผลของระบบ ด้านความเชื่อถือในการใช้งานระบบและด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ จากผลการวิจัย พบว่า ในด้านประสิทธิผลของระบบ ได้คะแนนค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.85, S.D. = 0.34 อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก ด้านความเชื่อถือในการใช้งานระบบ ได้คะแนนค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.84, S.D. = 0.40 อยู่ในเกณฑ์ ดีมากและด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ ได้คะแนนค่าเฉลี่ย <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.81, S.D. = 0.41 อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก จากผลการประเมินการทำงานของระบบ แสดงให้เห็นว่า ในการวิจัยครั้งนี้ไม่เพียงแต่บูรณาระบบการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการขึ้นมาเท่านั้น แต่ระบบยังสามารถทำงานได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทำให้การดำเนินการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
อสมาภรณ์ มั่นคง
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
87
95
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบทางด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกับภาวะสุขภาพจิตในกลุ่มคนเมือง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/5288
<p>การศึกษานี้วิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อสุขภาพจิตของกลุ่มคนเมืองในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของเมืองมักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสภาพแวดล้อม ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อภาวะสุขภาพจิต งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อระบุปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของประชากรในเมือง และนำเสนอแนวทางในการวางแผนพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน</p> <p>การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยผนวกรวมทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยการสำรวจภาคสนาม การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และการวิเคราะห์ทางสถิติของสภาพแวดล้อมอสังหาริมทรัพย์และตัวชี้วัดสุขภาพจิต การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) ได้ถูกนำมาใช้กับข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมอสังหาริมทรัพย์ในเมืองและภาวะสุขภาพจิตของประชากร ผลการศึกษาพบปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ (1) การเข้าถึงและคุณภาพของบริการสุขภาพจิต (2) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการบูรณาการของชุมชน (3) การมีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งในเมือง และ (4) คุณภาพของที่อยู่อาศัยและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อความเครียด</p> <p>ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการวางผังเมืองในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิต ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต การออกแบบเมืองให้ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ในชุมชน การขยายพื้นที่สีเขียว และการพัฒนาคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย ข้อมูลจากงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักวางแผนเมือง และนักวิจัยในการพัฒนาเมืองที่มีความยั่งยืนและเอื้อต่อสุขภาพจิตของประชากรในอนาคต </p>
ณัฐ อมรภิญโญ
สิทธิพร พันธุระ
เสริมพันธ์ เอี่ยมจะบก
พงษ์ศักดิ์ ทนงธนะสิทธิ์
ทรัพย์ อมรภิญโญ
ปิญะธิดา อมรภิญโญ
อรรจนา ด้วงแพง
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
96
107
-
การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้และการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน)
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3389
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทดสอบสมมติฐานถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรายได้ของบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) โดยศึกษาสมมติฐานแสดงความสัมพันธ์ของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (RSI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ส่งผลต่อรายได้ของกิจการบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ด้วยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression) และ 2) เพื่อพยากรณ์ผลการดำเนินงาน พยากรณ์ฐานะการเงินของบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี พ.ศ. 2567-2571 โดยอ้างอิง การพยากรณ์ดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ 3) เพื่อประเมินมูลค่าของธุรกิจบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ด้วยวิธีการสัมพัทธ์ (Relative) 4) เพื่อประเมินมูลค่าของธุรกิจบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ด้วยวิธีการคิดลดกระแสเงินสด (Discount Cash Flow) 3 วิธี ได้แก่ 1. การคิดลดเงินปันผล (Dividend Discount Model: DDM) 2. วิธีการคิดลดกระแสเงินสดอิสระต่อกิจการ (Free cash flow to the firm: FCFF) 3. วิธีการคิดลดกระแสเงินสดอิสระต่อผู้ถือหุ้น (Free cash flow to equity: FCFE)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (RSI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ของบริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) และจากการวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงิน และการพยากรณ์ผลการดำเนินงาน และฐานะการเงิน 5 ปี พบว่าบริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้ และมีฐานะการเงินที่มั่นคง การประเมินมูลค่าบริษัทฯ ด้วยวิธีการคิดลดกระแสเงินสดอิสระต่อกิจการ (Free cash flow to the firm: FCFF) การเติบโตเฉลี่ย 3.54% มูลค่าคาดการณ์ในส่วนของทุน 62,321.28 ล้านบาท และการประเมินมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ได้ราคาที่เหมาะสมเท่ากับ 128.27 บาท/หุ้น</p>
กุลธิดา วงศ์พิพัฒน์
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
108
128
-
ผลกระทบของเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลและนวัตกรรมการตรวจสอบบัญชีที่มีต่อความสำเร็จ ในการตรวจสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/4827
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลกระทบของเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลด้านการตรวจประเมินระยะไกล การตรวจและติดตามอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงนวัตกรรมการตรวจสอบบัญชี ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนที่มีต่อความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชีและทดสอบผลกระทบของนวัตกรรมการตรวจสอบบัญชีที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลกับความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชี ประชากร ได้แก่ ผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จำนวน 351 คน เก็บข้อมูลทั้งหมดโดยมีผู้ตอบแบบสอบถามกลับคืนมาเป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 205 คน คิดเป็นอัตราตอบกลับร้อยละ 58.41 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลด้านการตรวจประเมินระยะไกล นวัตกรรมการตรวจสอบบัญชีด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชี และนวัตกรรมการตรวจสอบบัญชีด้านปัญญาประดิษฐ์ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลด้านการตรวจประเมินระยะไกลกับความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชี นอกจากนี้นวัตกรรมการตรวจสอบบัญชีด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการตรวจสอบบัญชีในยุคดิจิทัลด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่กับความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ฐิติวรดา แสงสว่าง
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
129
146
-
ความท้าทายและโอกาสของ AI ในงานประชาสัมพันธ์ยุคใหม่:มุมมองเชิงวิพากษ์ และแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/4627
<p>บทความนี้ศึกษาบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในงานประชาสัมพันธ์ (PR) โดยมุ่งวิเคราะห์ทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ในกระบวนการสื่อสาร เช่น การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค และการจัดการวิกฤตผ่านระบบอัจฉริยะ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์จำนวน 12 คน จากองค์กรทั้งในและต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยผู้ให้ข้อมูลทุกคนมีประสบการณ์ในสายงานไม่ต่ำกว่า 5 ปี ผลการวิจัยพบว่า แม้ AI จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การคาดการณ์แนวโน้มของผู้ชมและการโต้ตอบแบบเรียลไทม์แต่ยังมีข้อกังวลด้านจริยธรรมหลายประการ ได้แก่ ความเอนเอียงของอัลกอริทึม ความไม่ชัดเจนของกระบวนการทำงาน การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม และการขาดความเข้าใจด้านอารมณ์หรือบริบททางวัฒนธรรมของมนุษย์ ผู้ให้ข้อมูลเห็นตรงกันว่า AI ควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของมนุษย์ มากกว่าที่จะเข้ามาแทนที่ พร้อมเสนอแนะแนวทางการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมในงานประชาสัมพันธ์ โดยเน้นความโปร่งใส การปกป้องข้อมูล ความเป็นธรรมในการสื่อสาร และการมีมนุษย์ควบคุมกำกับอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากสาธารณชนอย่างยั่งยืน</p>
ภคมณฑน์ สาสะตานันท์
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
1
13
-
แนวทางสร้างกลไกธรรมาภิบาลหุ้นกู้มีหลักประกันในประเทศไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/MSJournal/article/view/3132
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์การนำเสนอโดยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม กรณีการออกหุ้นกู้มีหลักประกัน ในตลาดการเงินไทยที่จะมุ่งส่งเสริมกลไกธรรมาภิบาลของหุ้นกู้มีหลักประกันภายใต้กฎเกณฑ์ที่มีการใช้บังคับ กรณีการกำหนดขนาดรายการที่ต้องดำเนินการหากจะจำหน่ายทรัพย์สิน หรือการเปิดเผยข้อมูลรายการที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งในกรณีขนาดรายการมีนัยสำคัญต้องมีรายงานที่ปรึกษาการเงินอิสระ และต้องขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อประชาชนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้ ดังนั้นการดำเนินงานของ ก.ล.ต. จึงจะต้องมุ่งเน้นสร้างการคุ้มครองผู้ลงทุนทุกประเภทอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในส่วนของผู้ลงทุนรายย่อย หากมีการกำหนดปรับใช้หลักเกณฑ์การได้มา หรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และหลักเกณฑ์รายการที่เกี่ยวโยงกัน สำหรับการนำสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนมาเป็นหลักประกันหุ้นกู้ จะเป็นแนวทางหนึ่งในการสนับสนุนการสร้างกลไกธรรมาภิบาลหุ้นกู้มีหลักประกันในประเทศไทยให้มีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้กรณีศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ช่วยสนับสนุนข้อเสนอ</p>
ศิววงศ์ ทองส่งโสม
ภัทรกิตติ์ เนตินิยม
Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 3
25
39