https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/issue/feed Journal of Dhamma for Life 2025-04-02T17:29:37+07:00 Open Journal Systems <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร (Aims of the Journal) </strong></p> <p> วารสารธรรมเพื่อชีวิตเป็นวารสารวิชาการมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อเผยแผ่สาระธรรมของมูลนิธิพุทธศาสนศึกษา 2. เพื่อพัฒนาวารสารให้มีคุณภาพทางด้านวิชาการและเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) 3. เพื่อเป็นวารสารที่ได้มาตรฐานสำหรับตีพิมพ์ผลงานของสมาชิกมูลนิธิและบุคคลทั่วไป 4) เพื่อบริการทางวิชาการ</p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong> <strong>(Scope of the Journal)</strong></p> <p> ขอบเขตเนื้อหาที่วารสารเปิดรับ ได้แก่ 1) ด้านพระพุทธศาสนา 2) ด้านปรัชญา ภาษา ศิลปวัฒนธรรม 3) ด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ 4) ด้านเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ 5) ด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>รูปแบบการการตีพิมพ์</strong><strong> (Process of Publication)</strong></p> <p> กองบรรณาธิการให้ความสำคัญต่อกระบวนการจัดทำวารสาร ตั้งแต่การคัดเลือกบทความ การประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีอย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ โดยเป็นการประเมินในรูปแบบการปกปิดชื่อผู้ประเมินและผู้เขียน (Double-blind Peer Review) และบทความต้นฉบับต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p> ทั้งนี้ ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด ในกรณีกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองบทความมีความเห็นว่า ควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นหลัก และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตีพิมพ์ในกรณีที่บทความไม่ตรงกับวัตถุประสงค์และรูปแบบของวารสารนี้ หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ หากบทความใดได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิให้ตีพิมพ์ ผู้เขียนจึงจะได้รับหนังสือรับรองการตีพิมพ์จากวารสาร</p> <p> ข้อความ ตาราง ภาพ กราฟ หรือการแสดงความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารธรรมเพื่อชีวิต ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารธรรมเพื่อชีวิตแต่อย่างใด <strong> </strong></p> <p><strong><em>ข้อพิจารณาทางจริยธรรม</em><br />• ผู้เขียนจะต้องดำเนินการวิจัยด้วยมาตรฐานสูงสุดในด้านความซื่อสัตย์ และความโปร่งใส โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านจริยธรรมและข้อกำหนดทางกฎหมาย<br />• ผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับอาสาสมัครต้องแน่ใจว่าได้รับความยินยอมโดยแจ้งให้ทราบ โดยมีรายละเอียดลักษณะของการศึกษา ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และผลประโยชน์ ซึ่งรวมถึงการรักษาความลับและการไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เข้าร่วม<br />• หากการวิจัยเกี่ยวข้องกับสัตว์ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม โดยจัดให้มีหลักฐานของการดูแลที่เหมาะสม การปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br />• ผู้เขียนต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมหรือคณะกรรมการพิจารณาของสถาบันที่เหมาะสม</strong></p> <p><strong>ประเภทของบทความ (</strong><strong>Types of Articles)</strong></p> <p> 1) บทความวิจัย (Original Research Article)</p> <p> 2) บทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ (</strong><strong>Languages)</strong></p> <p> ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>การกำหนดตีพิมพ์ (</strong><strong>Publication Frequency) </strong></p> <p> กำหนดเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ (ราย 3 เดือน)</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม</p> <p> ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน</p> <p> ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> ให้ผู้แต่งลงทะเบียนและส่งบทความ (Submission) เข้ามาในระบบของวารสารออนไลน์ให้เรียบร้อย และให้ชำระค่าธรรมเนียม บทความละ 4,000 บาท โดยดำเนินการดังนี้</p> <p> 1) โอนเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รหัสสาขา 0055 สาขาถนนตากสิน</p> <p> 2) ชื่อบัญชี มูลนิธิพุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม เลขที่บัญชี 055-247452-7</p> <p> 3) เมื่อชำระแล้ว ให้ส่งหลักฐานการโอนเงิน (สลิปการโอนเงิน) แนบมาในช่องกระทู้สนทนาในระบบวารสารออนไลน์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินการต่อไป</p> https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4923 การสื่อสารอุดมการณ์ช่างภาพในวงการศิลปะและธุรกิจ: กรณีศึกษา นายเกรียงไกร ไวยกิจ 2025-03-31T10:08:09+07:00 ศิรวิชช์ ชยันตรดิลก 13_a_nk@windowslive.com กนกรัตน์ ยศไกร kanokraty@gmail.com สุกัญญา บูรณะเดชาชัย sukanya.Bur@bkkthon.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาบริบทวงการถ่ายภาพแนวธุรกิจและศิลปะในประเทศไทย (2) เพื่อวิเคราะห์ชีวประวัติและอุดมการณ์ของศิลปิน นายเกรียงไกร ไวยกิจ ต่องานถ่ายภาพ (3) เพื่อสังเคราะห์กลยุทธ์การสื่อสารของศิลปิน นายเกรียงไกร ไวยกิจ สู่วงการศิลปะและธุรกิจ ผลการวิจัยพบว่า (1) บริบทสังคมไทยการถ่ายภาพแนวธุรกิจและแนวศิลปะมีการเติบโตมากขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล (2) ชีวประวัติและอุดมการณ์ของศิลปิน ช่วงที่ 1 เกรียงไกรเป็นเด็กมีฐานะยากจนแต่เรียนรู้และหารายได้จากการวาดภาพ อุดมการณ์ที่ฝังรากลึกจากความรักในการวาดภาพ (โครงสร้างชั้นบน) ส่งผลต่อการมีรายได้ในการเรียนและดำรงชีวิต (โครงสร้างชั้นล่าง) ช่วงที่ 2 เริ่มเข้าสู่วงการถ่ายภาพและมีอุดมการณ์ทำให้สังคมยอมรับว่าภาพถ่ายคืองานศิลปะ ช่วงที่ 3 ฝีมือการถ่ายภาพได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และมีอุดมการณ์ให้ประขาชนทั่วไปยอมรับว่าภาพถ่ายคืองานศิลปะ ช่วงที่ 4 ผลิตหนังสือและใช้บ้านเป็นที่จัดนิทรรศการเพื่อให้ผู้ที่นิยมสืบทอดอุดมการณ์ฯ (3) กลยุทธ์การสื่อสารของศิลปินสู่วงการศิลปะและธุรกิจ โดยช่วงที่ 2 เริ่มเรียนรู้การถ่ายภาพ ใช้การสื่อสารภายในบุคคล ส่งให้ผู้รู้วิจารณ์ผลงาน และหาพื้นที่ในการส่งภาพประกวดจากเวทีเล็กสู่ระดับชาติและนานาชาติ ช่วงที่ 3 มีการถ่ายทอดอุดมการณ์ “ภาพถ่ายคืองานศิลป์” และใช้กลยุทธ์วิเคราะห์ผู้รับสาร กำหนดวัตถุประสงค์ การเลือกใช้สื่อ การเลือกสาร การสร้างการมีส่วนร่วม การเล่าเรื่องด้วยภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว การนำเสนอทุกมิติด้วยมุมบวก การทำหนังสือ นิทรรศการ) และสื่อออนไลน์ ช่วงที่ 4 ใช้กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อสืบทอดอุดมการณ์ ด้วยการจัดทำหนังสือ “วาดด้วยภาพ”เผยแพร่ และเปิดช่องทางการสื่อสารด้วยทำบ้านให้เป็นแกลลอรี่ภาพถ่าย ผู้รับสารคือแฟนคลับ</p> 2025-04-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4794 โรงเรียนของหนู : การเรียนรู้แบบพุทธจิตตปัญญา ของสถาบันวิชชาราม 2025-03-16T09:29:32+07:00 รจรินทร์ อักขะโคตร rojarin5276@gmail.com Korn Kangsadanporn Korn.K@rsu.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดการก่อตั้งและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของห้องไลน์โรงเรียนของหนู 2) เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ของห้องไลน์โรงเรียนของหนู 3) เพื่อศึกษาผลสำเร็จจากกระบวนการเรียนรู้ของห้องไลน์โรงเรียนของหนู เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญในครั้งนี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 27 ท่าน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) แนวคิดการก่อตั้งโรงเรียนของหนู มีนักบวช และคุรุที่มีคุณธรรมช่วยอบรมสั่งสอนนักเรียน เป็นการศึกษาในระดับที่สามารถลดความโลภ ความโกรธ และความหลงได้จริง จึงแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา เป็นการศึกษาที่มีค่าที่สุดต่อทุกชีวิต โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ไม่ใช่การศึกษาในระบบ แต่เป็นช่องทางหนึ่งของการเรียนรู้ในสถาบันวิชชาราม แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ (1) จัดโครงสร้างการเรียนรู้ให้สัมพันธ์สอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน <strong>(</strong>2) จัดองค์ประกอบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามแนวจิตตปัญญา (3) ประเมินผลตามสภาพจริงแบบอิงหลักธรรม 2) กระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาตามหลักจิตตปัญญา 7 ประการ ผสมผสานกับหลักธรรม และ 3) ผลสำเร็จจากกระบวนการเรียนรู้ ใช้เครื่องมือตรวจวัด 5 ข้อ (1) นักเรียนมีความพึงพอใจมากจากการเรียนรู้ (2) นักเรียนสามารถลดความโลภ ความโกรธ ความหลง และความทุกข์ใจได้เป็นลำดับ (3) นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้เป็นลำดับ (4) นักเรียนแต่ละคนมีความก้าวหน้าพัฒนาจิตวิญญาณตามศีลที่ปฏิบัติ จิตใจจึงสบาย ผ่อนคลาย มีกำลัง สงบ ร่มเย็น เป็นสุขยิ่งขึ้น (5) ปัญหาอุปสรรคต่อการเรียนรู้ เกิดจากตัวเองที่ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงสร้างกรรมที่ไม่ดีเพิ่มขึ้น อีกทั้งเวลาไม่ลงตัวต่อการเรียน ติดภารกิจการงาน ตลอดจนขี้เกียจส่งการบ้าน </p> 2024-04-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4347 การจัดการความรู้ผ่านการถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสมุทรสาคร 2025-03-23T17:51:24+07:00 อัญชลี เติมพินิจธรรม gift_noopy@hotmail.com ฉัตรวรัญช์ องคสิงห chattrsu@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ด้านการประนีประนอมคดีเยาวชนและครอบครัวแบบฝังลึก ผ่านการถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมคดีครอบครัวในศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสมุทรสาคร และเสนอแนวทางด้านการประนีประนอมคดีเยาวชนและครอบครัวของศาลเยาวชนและครอบครัว ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลผ่านผู้ปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมคดีครอบครัว 7 ราย และถอดบทเรียนการจัดการความรู้ 12 คดี ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาพบว่ากระบวนการประนีประนอมคดีความครัว ประกอบด้วยการเตรียมการก่อนการเจรจา สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและความไว้วางใจ การเจรจาประนีประนอม การเสนอทางเลือกและการหาทางออกที่ยอมรับร่วมกัน และการทำข้อตกลงและการติดตามผล มีหลักสำคัญในการประนีประนอม คือ สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ใช้ภาษากายและการสื่อสารที่เหมาะสม สรุปและย้ำความเข้าใจ ตั้งคำถามกระตุ้นความคิด สำหรับแนวทางการประนีประนอมคดีเยาวชนและครอบครัวที่นำไปสู่ผลสำเร็จ ผู้ประนีประนอมต้องมีการเตรียมความพร้อม มีจัดการหน้างานที่ดี วางตนเหมาะสม มีทักษะการเจรจาต่อรอง นอกจากนี้บทบาทผู้ประนีประนอมที่นำไปสู่ความล้มเหลวเกิดขึ้นจากปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อกระบวนการไกล่เกลี่ย โดยมีข้อเสนอเสนอแนะ คือ การแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคล เพิ่มข้อบังคับเกี่ยวกับการประนีประนอมคดีครอบครัวให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ปรับปรุงแก้ไขคุณสมบัติของผู้ประนีประนอมคดีครอบครัวให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ อบรมให้ความรู้ผู้ประนีประนอมคดีครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น</p> 2025-04-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4864 ผลของการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2025-03-24T09:07:15+07:00 ณัฐพงษ์ ธานีกุล taneekul_n@su.ac.th สรณบดินทร์ ประสารทรัพย์ tea9796@hotmail.com <p>ผลของการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน</p> <p>กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดอนโพ ที่กำลังศึกษาในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหัสวิชา อ22101 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน จำนวน 4 แผน ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 8 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จำนวน 30 ข้อ เพื่อใช้ทดสอบก่อนและหลังการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t แบบไม่เป็นอิสระต่อกันผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-04-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4941 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ผลไม้แปรรูปฟรีซดราย ในจังหวัดปทุมธานี 2025-04-02T14:21:56+07:00 จินดาพร บุญคง jindaporn.boo@northbkk.ac.th ธีรเดช สนองทวีพร teeradej.sn@northbkk.ac.th ปัญญวัฒน์ จุฑามาศ Panyawat.ch@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดรายในจังหวัดปทุมธานี และ 2) ศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อปัจจัยประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดราย ในจังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วย พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดรายในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 335 คน เก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม (Google Form) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test และ ANOVA (Analysis of Variance) ซึ่งวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มโดยใช้ F-test เพื่อทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกลุ่ม รวมถึงการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 36-45 ปี จำนวน 115 คน สถานภาพ โสดการศึกษาระดับปริญญาตรี ตำแหน่งฝ่ายผลิต รายได้ต่อเดือนระหว่าง 15,000-20,000 บาท ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงาน อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดราย ในจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการพัฒนาและด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเป็นอันดับสุดท้าย คือ ด้านการฝึกอบรม</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านสถานภาพและระดับการศึกษาขั้นสูงสุด มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงาน อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดราย ในจังหวัดปทุมธานี และผลการทดสอบสมมติฐานด้านปัจจัยด้านทรัพยากรณ์มนุษย์ พบว่า ปัจจัยด้านการศึกษา และด้านการพัฒนาตนเอง มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในโรงงาน อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปฟรีซดราย ในจังหวัดปทุมธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4674 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี 2025-03-02T09:28:08+07:00 ธีรเดช สนองทวีพร teeradej.sn@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ของผู้ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเขตจังหวัดนนทบุรี 2) ศึกษาระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square Test) และการวิเคราะห์ถดถอยแบบไบนารีโลจิสติกรีเกรชชั่น (Binary Logistic Regression Analysis)</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 25-34 ปี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน การศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท ระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเป็นอันดับสุดท้าย คือ ด้านการส่งเสริมการตลาด</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อาชีพ และระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี และผลการทดสอบสมมติฐานด้านส่วนประสมทางการตลาด พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยด้านราคาและด้านกระบวนการให้บริการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในเขตจังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4909 ภาวะผู้นำมุ่งบริการของผู้บริหารกับคุณภาพชีวิตการทำงานของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 2025-03-28T16:38:13+07:00 ไวชญานีก์ มะลิวงศ์ wychayanee.mal@gmail.com สงวน อินทร์รักษ์ san_inrak@hotmail.com นพดล เจนอักษร majnopc@gmail.com สายสุดา เตียเจริญ saisuda.tiancharoen@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) 1) ภาวะผู้น้ำมุ่งบริการของผู้บริหารในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 2) คุณภาพชีวิตการทำงานของครในโระเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำมุ่งบริการของผู้บริหารกับคุณภาพชีวิตการทำงางานของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพขรบรี เขต 2 การวิจัยครั้งนี้ไข้โรงเรียนเป็นหน่วยวิเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบรี เขต 2 จำนวน 97 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน ได้แก่ 1) ผู้อำนการโรงเรียน จำนวน 1 คน 2) ครู จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 194 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำมุ่งบริการของผู้บริหารตามแนวคิดของกรีนลีฟกับคุณภาพชีวิตการทำงานของครูตามแนวคิดของวอลตัน สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำมุ่งบริการของผู้บริหารในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิดจากมากมากไปหาน้อย ดังนี้ การมุ่งมันการพัฒนาบุคลากร การสร้างสรรค์ชุมชน การโน้มน้าวใจ การสร้างมโนทัศน์ขององค์กร การมีจิตบริการ การตระหนักรู้ การมองการณ์ไกล การยอมรับและเห็นอกเห็นใจ การเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ และการเป็นผู้ฟังที่ดีตามลำดับ 2) คุณภาพชีวิตการทำงานของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลยคนิดจากมากไปหาน้อย ดังนี้ โอกาสในการใช้ความรู้ความสามารถในการพัฒนางาน การยอมรับทางสังคมในองค์การ การกำหนดระเบียบข้อบังคับความเป็นสิทธิส่วนบุคคลในองค์การ โอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและมีความก้าวหน้ามันคงในหน้าที่การงาน บทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม สภาพการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย ความสมดุลอันเหมาะสมระหว่างเวลาของหน้าที่การงานและเวลาส่วนบุคคล และการให้เงินตอบแทนที่เพียงพอและเป็นธรรม ตามลำดับ 3) ภาวะผู้นำมุ่งบริการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตการทำงานของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-04-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4869 การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาสังคม: กรณีศึกษาวัดระฆังพรหมรังส 2025-03-24T10:46:36+07:00 Pasin Sinma phdsinma69@hotmail.com อำพล บุดดาสาร ampon828@hotmail.com พระครูธรรมธรปุญญาพัฒน์ แสงวงศ์ดี poonyanando@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาสังคม 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม 3) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาสังคมของวัดระฆังพรหมรังสี งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพเชิงเอกสาร ศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ 17 รูป/คน วิเคราะห์เชิงเนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณาวิเคราะห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>แนวคิดทฤษฎีการพัฒนาสังคมสามารถอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในมิติต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ โดยทฤษฎีภาวะทันสมัยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมดั้งเดิมไปสู่สังคมสมัยใหม่ผ่านปัจจัยทางเศรษฐกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของสถาบันทางสังคมในการรักษาความสมดุลของสังคม ขณะที่ทฤษฎีการพัฒนาสังคมของ ดร. เอน สมิงเงอร์ เน้นแนวทางเชิงบูรณาการ โดยพิจารณาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคม</li> <li>หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมสามารถส่งเสริมความสามัคคีและความยั่งยืนของสังคม หลักสังคหวัตถุ 4 เน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีผ่านการให้ พูดจาดี ช่วยเหลือกัน วางตนเหมาะสม หลักสาราณียธรรม 6 ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคม ตั้งมั่นในศีล มีความเห็นที่ถูกต้อง หลักภาวนา 4 มุ่งพัฒนากาย ศีล จิต และปัญญาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต</li> <li>วัดระฆังพรหมรังสีประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการพัฒนาชุมชนและกิจกรรมภายในวัด โดยการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพระภิกษุและฆราวาส การสร้างงานและรายได้แก่ผู้ที่ช่วยเหลือวัด มีการบริหารทรัพยากรแบบโปร่งใส วัดยังนำหลักสาราณียธรรม 6 มาใช้ในการสร้างความสามัคคีและการช่วยเหลือซึ่งกัน รวมถึงการใช้หลักภาวนา 4 เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตทั้งพระภิกษุและฆราวาส</li> </ol> 2025-04-11T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4737 การจัดการกิจกรรมขัดเกลาทางจริยธรรมในกลุ่มยุวพุทธิกะ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมพุทธประทีปจังหวัดสุพรรณบุรี 2025-03-08T10:30:35+07:00 ยุภดี แหยมสุขสวัสดิ์ bowwill1987@gmail.com สถาพร ภูสุวรรณ์ Sathaphom.ph@northbkk.ac.th เสาวนีย์ วิยะบุญ saowanee.w@hotmail.co.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด และโรงเรียนในการออกแบบกิจกรรมขัดเกลาทางจริยธรรมให้กับกลุ่มยุวพุทธิกะ และ 2) ศึกษาการจัดการกิจกรรมขัดเกลาทางจริยธรรมให้กับกลุ่มยุวพุทธิกะ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมพุทธประทีป จังหวัดสุพรรณบุรี วิธีดำเนินการวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ พระสงฆ์ 1 รูป ผู้นำจัดกิจกรรม 4 คน ครู 5 คน และชาวบ้าน 10 คน รวม 20 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย: พบว่า 1) ด้านสถาบันครอบครัว มีความสำคัญต่อกระบวนการขัดเกลามากที่สุด กลุ่มยุวพุทธิกะสามารถนำหลักธรรมคำสอนที่ได้จากกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นคำสอนในเรื่องพื้นฐาน ได้แก่ ความกตัญญู และศีล 5 ซึ่งการเอาใจใส่ของครอบครัวก็สามารถช่วยขัดเกลาและให้คำแนะนำได้ 2) ด้านสถาบันการศึกษา ได้มีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปสอดแทรกในการเรียนการสอน รวมถึงการให้ความร่วมมือกับสถาบันครอบครัวและสถาบันศาสนาในการสื่อสารถึงพฤติกรรมของกลุ่มยุวพุทธิกะ เพื่อขัดเกลาผ่านกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา 3) ด้านสถาบันศาสนา พระภิกษุเป็นผู้ถ่ายทอดคำสอนทางพระพุทธศาสนาอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยจะมุ่งเน้นการนำคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติ ซึ่งเริ่มจากการมีความกตัญญูต่อบุพการีเป็นพื้นฐาน และปฏิบัติตามหลักศีล 5 อย่างสม่ำเสมอ</p> 2025-04-11T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life