วารสารธรรมเพื่อชีวิต : Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร (Aims of the Journal) </strong></p> <p> วารสารธรรมเพื่อชีวิตเป็นวารสารวิชาการมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อเผยแผ่สาระธรรมของมูลนิธิพุทธศาสนศึกษา 2. เพื่อพัฒนาวารสารให้มีคุณภาพทางด้านวิชาการและเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) 3. เพื่อเป็นวารสารที่ได้มาตรฐานสำหรับตีพิมพ์ผลงานของสมาชิกมูลนิธิและบุคคลทั่วไป 4) เพื่อบริการทางวิชาการ</p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong> <strong>(Scope of the Journal)</strong></p> <p> ขอบเขตเนื้อหาที่วารสารเปิดรับ ได้แก่ 1) ด้านพระพุทธศาสนา 2) ด้านปรัชญา ภาษา ศิลปวัฒนธรรม 3) ด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ 4) ด้านเศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ 5) ด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>รูปแบบการการตีพิมพ์</strong><strong> (Process of Publication)</strong></p> <p> กองบรรณาธิการให้ความสำคัญต่อกระบวนการจัดทำวารสาร ตั้งแต่การคัดเลือกบทความ การประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีอย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ โดยเป็นการประเมินในรูปแบบการปกปิดชื่อผู้ประเมินและผู้เขียน (Double-blind Peer Review) และบทความต้นฉบับต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> <p> ทั้งนี้ ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด ในกรณีกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองบทความมีความเห็นว่า ควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นหลัก และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตีพิมพ์ในกรณีที่บทความไม่ตรงกับวัตถุประสงค์และรูปแบบของวารสารนี้ หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ หากบทความใดได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิให้ตีพิมพ์ ผู้เขียนจึงจะได้รับหนังสือรับรองการตีพิมพ์จากวารสาร</p> <p> ข้อความ ตาราง ภาพ กราฟ หรือการแสดงความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารธรรมเพื่อชีวิต ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารธรรมเพื่อชีวิตแต่อย่างใด <strong> </strong></p> <p><strong><em>ข้อพิจารณาทางจริยธรรม</em><br />• ผู้เขียนจะต้องดำเนินการวิจัยด้วยมาตรฐานสูงสุดในด้านความซื่อสัตย์ และความโปร่งใส โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านจริยธรรมและข้อกำหนดทางกฎหมาย<br />• ผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับอาสาสมัครต้องแน่ใจว่าได้รับความยินยอมโดยแจ้งให้ทราบ โดยมีรายละเอียดลักษณะของการศึกษา ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และผลประโยชน์ ซึ่งรวมถึงการรักษาความลับและการไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เข้าร่วม<br />• หากการวิจัยเกี่ยวข้องกับสัตว์ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม โดยจัดให้มีหลักฐานของการดูแลที่เหมาะสม การปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br />• ผู้เขียนต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมหรือคณะกรรมการพิจารณาของสถาบันที่เหมาะสม</strong></p> <p><strong>ประเภทของบทความ (</strong><strong>Types of Articles)</strong></p> <p> 1) บทความวิจัย (Original Research Article)</p> <p> 2) บทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ (</strong><strong>Languages)</strong></p> <p> ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>การกำหนดตีพิมพ์ (</strong><strong>Publication Frequency) </strong></p> <p> กำหนดเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ (ราย 3 เดือน)</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม</p> <p> ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน</p> <p> ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> ให้ผู้แต่งลงทะเบียนและส่งบทความ (Submission) เข้ามาในระบบของวารสารออนไลน์ให้เรียบร้อย และให้ชำระค่าธรรมเนียม บทความละ 3,000 บาท โดยดำเนินการดังนี้</p> <p> 1) โอนเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รหัสสาขา 0055 สาขาถนนตากสิน</p> <p> 2) ชื่อบัญชี มูลนิธิพุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม เลขที่บัญชี 055-247452-7</p> <p> 3) เมื่อชำระแล้ว ให้ส่งหลักฐานการโอนเงิน (สลิปการโอนเงิน) แนบมาในช่องกระทู้สนทนาในระบบวารสารออนไลน์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินการต่อไป</p> มูลนิธิพุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม : Buddhist Studies Foundation Wat Buranasiri Matayaram th-TH วารสารธรรมเพื่อชีวิต : Journal of Dhamma for Life 2822-048X แนวทางการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุตามแนวคิดของยูเนสโก https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4394 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุตามแนวทางการพัฒนาและสร้างเมืองที่เป็นเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก (UNESCO Global Network of Learning Cities; GNLC) โดยการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City; LC) ของ GNLC รวมถึง จุดเด่นในการดำเนินงานส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเมืองซูวอน สาธารณรัฐเกาหลี และในประเทศไทย คือ เชียงราย และพะเยา ทั้งนี้การสังเคราะห์ข้อมูลแบ่งตามประเด็นแนวทางการพัฒนาและสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ของ GNLC ประกอบด้วย 1) Develop a plan: การวางแผน 2) Involve all stakeholders: สร้างการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3) Celebrate learning: ส่งเสริมในการจัดเทศกาลและงานกิจกรรมต่าง ๆ 4) Make learning accessible to all: ส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ 5) Monitor and evaluate progress: ติดตามและประเมินผลความก้าวหน้า และ 6) Ensure sustainable funding: สนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอและมั่นคง จากผลการศึกษาพบว่า แต่ละเมืองมีจุดเด่นในการสร้าง LC ที่ต่างกัน แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ มีการกำหนดมีวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และกลไกการขับเคลื่อนในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย/ภาคีเครือข่าย และประชากรในเมือง รวมถึง มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่มาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหลาหลายภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ร่วมกันมีการสร้างแหล่งเรียนรู้/พื้นที่การเรียนรู้ที่กระจายอยู่รอบเมือง โดยอยู่ในระยะการเดินทางของวัยสูงอายุมีการสำรวจความต้องการและความพึงพอใจของผู้เรียน เพื่อใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงรายวิชาสำหรับผู้สูงอายุตามความต้องการและความสนใจของผู้สูงอายุอยู่เสมอ</p> กรกมล จึงสำราญ สิริกานต์ แก้วคงทอง เฉลิมพร ปัญจาสุธารส Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-29 2025-01-29 31 1 116 146 A study of L1 Interference in Paragraph Writing of Grade 12 Students of Bunluawittayanusorn School https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4334 <p>This study aimed to analyze and describe features of L1 interference in paragraph writing by 17 grade12 students of Bunluawittayanusorn School. Two levels of L1 interference, namely words and sentences were analyzed from samples of the students’ paragraph writing. It was found that literal translation of Thai words into English mainly represented features of L1 lexical interference in the students’ written English. Moreover, structural borrowing from Thai language such as word order, Subject-verb agreement, and noun determiners indicated features of L1 syntactic interference. These chronic writing problems should be solved in an appropriate way for the quality of written product of ESL/EFL paragraph writing.</p> Somphong Noite Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-07 2025-01-07 31 1 1 17 เจตคติการรับรู้พฤติกรรมเสี่ยงและการจัดการพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4304 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ 2) เจตคติและการรับรู้พฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลต่อการถูกกลั่นแกล้ง 3) การจัดการพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ 4) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดการพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ และ 5) แนวทางในการป้องกันและแก้ไขพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 - 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 360 คนใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยคำนวณจากสูตรของ เทโร ยามาเน่ (Taro Yamane) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป วิธีการทางสถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 38.60 ระดับชั้นปีที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 30.00 มีพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 100 ระยะเวลาในการใช้สื่อออนไลน์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันคิดเป็นร้อยละ 63.10 สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้มากที่สุดคือเฟชบุ๊คคิดเป็นร้อยละ 39.20 รู้จักการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์คิดเป็นร้อยละ 98.60 เคยถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์คิดเป็นร้อยละ 54.40 โดยถูกกลั่นแกล้งผ่านสื่อเฟชบุ๊คคิดเป็นร้อยละ 38.03 รูปแบบที่เคยถูกกลั่นแกล้งมากที่สุดคือการแกล้งแหย่หรือการล้อเลียน (Trolling) คิดเป็นร้อยละ 21.74 สำหรับเจตคติต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x = 4.03, S.D. = 0.28) การรับรู้พฤติกรรมความเสี่ยงโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.78 S.D. = 0.60) การจัดการพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.78, S.D. = 0.37) ปัจจัยด้านการรับรู้พฤติกรรมความเสี่ยงและเจตคติต่อพฤติกรรมการกลั่นแกล้งมีอิทธิพลต่อการจัดการพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณการทำนายได้ร้อยละ 36.90 (R2= 0.369) ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการวิเคราะห์การถดถอยได้ดังนี้ Y = 2.085 + 0.031 (X2) + 0.066 (X1)</p> <p><strong> </strong></p> รศ.บุญมั่น ธนาศุภวัฒน์ วิทยา สุขสา สุทธาภา มาประกอบ Copyright (c) 2024 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2024-01-08 2024-01-08 31 1 18 37 การพัฒนาผู้สูงอายุ ผ่านสื่อสร้างสรรค์ กรณีศึกษา: ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4154 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาและหาคุณภาพของสื่อสร้างสรรค์ กรณีศึกษา: ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์” (2) เพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้สูงอายุผ่านสื่อสร้างสรรค์ กรณีศึกษา: ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์” และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มีต่อสื่อสร้างสรรค์ กรณีศึกษา: ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์” การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์ จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ สื่อสร้างสรรค์ เรื่อง “การรู้เท่าทันสื่อ และการจัดการข่าวปลอม” แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้สูงอายุ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตรคูเดอร์-ริชาร์ดสัน สูตรที่ 20 และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) คุณภาพด้านเนื้อหาของสื่อสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.73 อยู่ในระดับดีมาก และคุณภาพด้านสื่อสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 ระดับดีมาก (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้สูงอายุผ่านสื่อสร้างสรรค์ มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มีต่อสื่อสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.66 ระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า 1) ด้านโปสเตอร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76 ระดับมากที่สุด 2) ด้านวีดิทัศน์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ระดับมากที่สุด 3) ด้านกิจกรรมบันไดงู มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 ระดับมากที่สุด 4) ด้านการให้ความรู้เรื่อง “การรู้เท่าทันสื่อ และการจัดการข่าวปลอม” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 ระดับมากที่สุด</p> วรินทร แจ้งโรจน์ สุภารัตน์ อมรพรชัยกุล ภาคิน เสนาะพิน ณพวัฒน์ ฉิมสุวรรณ Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-08 2025-01-08 31 1 38 52 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการปฏิบัติตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/3671 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี 2) การปฏิบัติตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ ศูนย์พัฒนาเด็กสังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี 118 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ตามแนวคิดของฮิทท์ ไอร์แลนด์ และฮอสคิสสัน ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติตามแนวคิดของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ การกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์การมุ่งเน้นการปฏิบัติอย่างมีคุณธรรม การสนับสนุนวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิผล การจัดตั้งควบคุมองค์การให้สมดุล และการบริหารทรัพยากรในองค์การ 2) การปฏิบัติตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน การจัดการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อความปลอดภัย และการบริหารจัดการบุคลากรทุกประเภทตามหน่วยงานที่สังกัด 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการปฏิบัติตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะคล้อยตามกัน</p> สุนีย์กร พลพหล รศ.ดร.นุชรา รัตนศิระประภา Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-17 2025-01-17 31 1 53 75 การพัฒนาโปรแกรมสั่งอาหารหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4288 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของระบบการสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน (2)เพื่อพัฒนาโปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน (3) เพื่อประเมินคุณภาพของโปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) การศึกษาสภาพปัญหาของระบบการสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน จากพยาบาลประจำหอผู้ป่วยในและเจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานโภชนศาสตร์รวมจำนวน 9 คน 2) การพัฒนาและทดลองใช้โปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่านจากพยาบาลประจำหอผู้ป่วยในและเจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานโภชนศาสตร์รวมจำนวน 202 คน และ 3) การประเมินคุณภาพของโปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน จากผู้เชี่ยวชาญ 12 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก โปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน และแบบประเมินคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ Paired sample t-test ผลการวิจัย พบว่า (1) ผลการศึกษาสภาพปัญหาของระบบการสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน พบว่า โปรแกรมระบบการสั่งอาหารมีปัญหา (2) ผลการพัฒนาโปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน พบว่า ที่ระดับ 0.05 ระยะเวลาเฉลี่ยการพิมพ์สติ๊กเกอร์อาหารเฉพาะโรคหลังการปรับปรุงโปรแกรมสั่งอาหารลดลง ระยะเวลาเฉลี่ยการพิมพ์สติ๊กเกอร์อาหารสายยางหลังการปรับปรุงโปรแกรมสั่งอาหารลดลง ระยะเวลาเฉลี่ยการพิมพ์ใบรายการอาหารรวมทุกหอผู้ป่วยหลังการปรับปรุงโปรแกรมสั่งอาหารลดลง (3) ผลการประเมินคุณภาพของโปรแกรมสั่งอาหารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลน่าน อยู่ในระดับมาก</p> อรทัย ใจบุญ Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-22 2025-01-22 31 1 76 90 การจัดทำแผนการดำเนินงานการจัดนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/article/view/4393 <p>การจัดทำแผนการดำเนินงานการจัดนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและจัดทำแผนการดำเนินงานการจัดนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใช้การศึกษานโยบาย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบนิเวศการเรียนรู้ ประกอบการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง/ผู้ให้ข้อมูลจากสถานศึกษา 4 แห่ง ได้แก่ (1) โรงเรียนวัดบางปิดล่าง (ราษฎร์สงเคราะห์) จังหวัดตราด (2) โรงเรียนลาซาล กรุงเทพมหานคร (3) โรงเรียนบ้านไสไทย จังหวัดกระบี่ และ (4) โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย กรุงเทพมหานคร โดยประเด็นการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลอิงตามปัจจัยที่เอื้อต่อการจัดระบบนิเวศการเรียนรู้ 6 ปัจจัย ประกอบด้วย (1) การเปลี่ยนวิธีคิด (2) ความพร้อมของบุคลากร/องค์กร (3) สิ่งแวดล้อม/เทคโนโลยีสารสนเทศ (4) วิธีเรียน/เนื้อหาการเรียนรู้ (5) วัฒนธรรมการเรียนรู้/ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วม และ (6) ความยืดหยุ่น/ทางเลือกที่หลากหลาย จากนั้น วิเคราะห์เชิงเนื้อหาและจัดทำแผนการดำเนินงานการจัดนิเวศการเรียนรู้ฯ ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์และเป้าประสงค์สำคัญ ดังนี้</p> <p>กลยุทธ์ที่ค้นพบคือ สถานศึกษามีการจัดนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของคนไทย 4.0 ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย เป้าประสงค์ย่อย 6 เป้าประสงค์ ได้แก่ เป้าประสงค์ที่ 1 การเปลี่ยนกรอบความคิดของผู้เรียน เป้าประสงค์ที่ 2 การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา เป้าประสงค์ที่ 3 การพัฒนาอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีให้เหมาะสม เพียงพอ และมีประสิทธิภาพ เป้าประสงค์ที่ 4 การพัฒนาวิธีการและเนื้อหาการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และศตวรรษที่ 21 เป้าประสงค์ที่ 5 การเสริมสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นกับสถานศึกษาและชุมชน และเป้าประสงค์ที่ 6 การพัฒนาทางเลือก ช่องทาง และกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและยืดหยุ่น </p> กรกมล จึงสำราญ สิริกานต์ แก้วคงทอง รวิช ตาแก้ว เอนก สุวรรณบัณฑิต Copyright (c) 2025 Journal of Dhamma for Life https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dhammalife/index 2025-01-26 2025-01-26 31 1 91 115