วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj
<p><strong>วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์<br /></strong>บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง <br />(Doctor of Philosophy in Social Sciences Journal)<br />ISSN 2774-129X (Print) <br />ISSN 2774-1443 (Online)</p> <p><strong>เปิดรับบทความลงตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ<br /> ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม – เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน – ธันวาคม<br /><br />ประเภทบทความ :</strong> บทความวิจัย, บทความวิชาการ<br /><strong>สาขาวิชาที่เปิดรับ </strong>: สาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ และ สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง<br /><br /> บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับประเมินคุณภาพทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประเมิน (reviewers) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน โดยปกปิดชื่อผู้แต่งและชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความ (Double blinded)</p> <p>อัตราค่าธรรมเนียมการลงตีพิมพ์บทความ 5,000 บาท ต่อหนึ่งบทความ</p> <p><strong>ทั้งนี้ วารสารฉบับนี้ เป็นวารสารที่ผ่าน <a href="https://tci-thailand.org/journal_info?jid=12056" target="_blank" rel="noopener">การรับรองคุณภาพของ TCI ประจำปี 2568</a> (1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2572) และอยู่ในฐานข้อมูล TCI วารสารกลุ่มที่ 2</strong> <br /><br /><strong><a class="keychainify-checked" href="https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/about/submissions"><em>คลิก เพื่อส่งบทความ</em></a></strong></p>
โครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
en-US
วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
2774-129X
-
ทัศนคติของประชาชนต่อคุณภาพการบริการสาธารณะ กรณีเทศบาลตำบลหลักหก จังหวัดปทุมธานี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4859
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทัศนคติของประชาชนที่มีต่อคุณภาพการบริการสาธารณะของเทศบาลตำบลหลักหก และ 2) เปรียบเทียบทัศนคติของประชาชนที่มีต่อคุณภาพการบริการสาธารณะของเทศบาลตำบลหลักหก จังหวัดปทุมธานี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลหลักหก จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับทัศนคติของประชาชนต่อคุณภาพการบริการสาธารณะของเทศบาลตำบลหลักหก โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ การบริการอย่างเสมอภาค รองลงมาคือด้านการได้รับบริการที่ตรงต่อเวลา และ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือด้านการได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง และ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ และอาชีพมีความแตกต่างของทัศนคติต่อคุณภาพการบริการสาธารณะของเทศบาลตำบลหลักหก ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้านการศึกษา รายได้ และจำนวนครั้งในการเข้ารับบริการที่แตกต่างกันมีทัศนคติต่อคุณภาพการบริการสาธารณะไม่ต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากผลการศึกษาผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับ อาจใช้ประกอบการวางแผนเพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการสาธารณะของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคมและประชาชนอย่างยั่งยืน โดยแนวทางการเสริมสร้างคุณภาพการบริการสาธารณะของเทศบาลตำบลหลักหกที่สำคัญคือ ควรมีการสร้างความรู้ ความเข้าใจและความตระหนักถึงความสำคัญในหน้าที่บริการให้กับบุคลากรของหน่วยงาน รวมถึงควรสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรผู้ให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคคลากรต่อไป</p>
ฉกาจ เย็นเยือก
เฉลิมพร เย็นเยือก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
1
14
-
แรงจูงใจในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์: กรณีศึกษาหน่วยทหารในพื้นที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ค่ายภูมิพล) จังหวัดลพบุรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4916
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยแรงจูงใจในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์ และ 2) ศึกษาปัจจัยความต้องการในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์ ทั้งนี้ เพื่อเสนอแนวทางการสร้างแรงจูงใจในการรับสมัครพลทหารออนไลน์ของหน่วยทหารในพื้นที่การทหารปืนใหญ่ (ค่ายภูมิพล) จังหวัดลพบุรี ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ พลทหารจากหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดลพบุรี จำนวน 92 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาเป็นภาพรวม ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยแรงจูงใจในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์ ได้แก่ ด้านเงินเดือน ด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ด้านโอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในอนาคตและด้านความมั่นคง และ 2) ปัจจัยด้านความต้องการในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์ คือ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการความรักและสังคม ความต้องการได้รับความยกย่องนับถือ และความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต จากผลการศึกษาผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องในทุกระดับ อาจใช้ประกอบการวางแผนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการรับสมัครพลทหารออนไลน์ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดด้วยการเพิ่มการประชาสัมพันธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ของทหารให้มีศักดิ์ศรีมีเกียรติ เพื่อสร้างความเชื่อถือแก่ประชาชน มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ของการรับสมัครโดยใช้เจ้าหน้าที่ที่เป็นบุคคลให้มากขึ้น และการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสวัสดิการ เงินเดือนได้รับการศึกษาเพิ่มเติม การฝึกวิชาชีพและด้านอื่น ๆ อย่างจริงจังให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจในการสมัครเข้ามาเป็นพลทหารออนไลน์มากขึ้น รวมถึงผ่านกระบวนการคัดเลือก 5 ขั้น และพัฒนาเพื่อนำไปสู่ระบบอาสาสมัครต่อไป</p>
พันตรีสุริยา แสวงทรัพย์
ปธาน สุวรรณมงคล
เฉลิมพร เย็นเยือก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
15
27
-
ความสัมพันธ์ของเพศ สถาบันการศึกษาและการอบรมวิชาชีพต่อจิตสำนึกเชิงจริยธรรมการสื่อข่าวดิจิทัลของนักศึกษาด้านสื่อสารมวลชน
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4758
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของเพศและสถาบันการศึกษากับจิตสำนึกเชิงจริยธรรมการสื่อข่าวของนักศึกษาที่เรียนด้านสื่อสารมวลชนที่เข้าร่วมและไม่เข้าร่วมการอบรมทางวิชาชีพ วิธีการวิจัยใช้ระเบียบวิจัยเชิงผสมผสาน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอนจำนวน 425 คน และแบบเฉพาะเจาะจง 25 คน รวมทั้งสิ้น 450 คน ใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงสึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัย พบว่า สถาบันการศึกษาและการอบรมทางวิชาชีพมีความสัมพันธ์กับจิตสำนึกเชิงจริยธรรมการสื่อข่าวดิจิทัล ซึ่งจิตนึกเชิงจริยธรรมการสื่อข่าวดิจิทัลของนักศึกษาสื่อสารมวลชนที่เข้าร่วมและไม่เข้าร่วมการอบรมวิชาชีพแตกต่างกัน โดยอยู่ระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาจิตสำนึกเชิงจริยธรรมแยกเป็นรายด้านพบว่า การคิดประเด็นเพื่อรวบรวมข้อมูล และการรายงานนำเสนอข่าวอยู่ระดับสูง ทั้งนี้นักศึกษาด้านสื่อมวลชนให้เหตุผลเชิงจริยธรรมการสื่อข่าวดิจิทัลว่า ต้องตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวให้รอบคอบก่อนการรายงานข่าว เพราะอาจเกิดความผิดพลาดหรือสร้างความเข้าใจผิดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ เกณฑ์การคัดเลือกข่าวควรเน้นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของผู้รับสารมากกว่ายึดตามกระแสสังคม เนื้อหาข่าวต้องถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้ภาพที่ไม่เหมาะสมเพื่อดึงดูดความสนใจ ที่อาจเสี่ยงต่อการฟ้องร้อง ผลการศึกษาครั้งนี้มหาวิทยาลัยสามารถนำข้อมูลมาใช้ออกแบบหลักสูตรการเรียน หรือองค์กรสื่อใช้สร้างหลักสูตรในโครงการอบรมบุคลากร เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกเชิงจริยธรรมในการทำงานต่อไป</p>
วัฒนี ภูวทิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
28
44
-
ความผูกพันของบุคลากรที่มีต่อวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/5039
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความผูกพันต่อองค์กร และ 2) วิเคราะห์แนวโน้มปัจจัยความผูกพันของบุคลากรวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยวิเคราะห์ 4 มิติ ได้แก่ ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ ความก้าวหน้าในงานและการพัฒนาอาชีพ ระบบบริหารสมรรถนะ และระบบรางวัลและการยอมรับ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรจำนวน 99 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสอบถามปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความสัมพันธ์ และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านระดับความผูกพันบุคลากรมีความผูกพันต่อองค์กรในระดับมาก โดยเฉพาะด้านความก้าวหน้าในอาชีพ และระบบรางวัลและการยอมรับ มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด และ 2) แนวโน้มปัจจัยความผูกพันต่อองค์กร พบว่า ปัจจัยด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ระบบรางวัลและการยอมรับ และค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์มีความสัมพันธ์กับความผูกพันโดยรวม และสามารถร่วมกันทำนายได้อย่างแม่นยำ ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา คือ การออกแบบระบบบริหารงานบุคคลที่ตอบสนองประสบการณ์และความต้องการของบุคลากร เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความผูกพันอย่างยั่งยืน</p>
สุมล แซ่เฮง พิสิษฐ์สังฆการ
รัจน์ชีวาต์ แซ่ตั๋น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
45
60
-
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเลือกใช้ t-test และ ANOVA รายวิชาชีวสถิติ โดยใช้โปรแกรม Canva สำหรับนักศึกษาสาขาสาธารณสุข ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/5044
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้โดยใช้โปรแกรม Canva เรื่อง การเลือกใช้ <em>t-</em>test และ ANOVA (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง การเลือกใช้ <em>t-</em>test และ ANOVA (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาหลังเรียนเรื่อง การเลือกใช้ <em>t</em>-test และ ANOVA กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักศึกษาสาขาสาธารณสุข ชั้นปีที่ 2 ห้อง 1 จำนวน 32 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยมีค่า IOC อยู่ในช่วง 0.67 ถึง 1.00 ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.41 ถึง 0.69 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.44 ถึง 0.94 และค่าความเชื่อมั่น KR20 มีค่าเท่ากับ 0.89 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) สื่อการเรียนรู้โดยใช้โปรแกรม Canva เรื่อง การเลือกใช้ <em>t-</em>test และ ANOVA (2) แบบประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า (1) คุณภาพของสื่อการเรียนรู้โดยใช้โปรแกรม Canva มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) หลังเรียนเรื่อง การเลือกใช้ <em>t-</em>test และ ANOVA โดยใช้สื่อการเรียนรู้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
เมษิยา แย้มเจริญกิจ
นวรัตน์ ประทุมตา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
61
74
-
คุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4466
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม และ (2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 306 คน และใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวกจากบุคลากรที่ยินดีให้ข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.969 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ <em>t</em>-test, การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างจึงเปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีการ LSD ของฟิชเชอร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม โดยรวมมีคุณภาพชีวิตในการทำงานในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านลักษณะงานที่ให้ผลประโยชน์ต่อสังคมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการบูรณาการทางสังคม ด้านสิทธิในการทำงาน ด้านความสมดุลในชีวิต การพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคคล ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ และด้านค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและเพียงพอ ตามลำดับ (2) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในหน่วยงานหลักส่วนกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม พบว่า บุคลากรที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประเภทบุคลากรที่แตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตในการทำงานไม่แตกต่างกัน ส่วนบุคลากรที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตในการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> </p>
จิณณรัตน์ แกมกล้า
อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ
รังสรรค์ ประเสริฐศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
75
94
-
การจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4467
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการขยะมูลฝอย และ 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลกับการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน ใช้ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการทดสอบ รายคู่ของเชฟเฟ่ ที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 ถึง 20,000 บาท ระยะเวลาที่อยู่อาศัยมากกว่า 5 ปีขึ้นไป จำนวนสมาชิกในครอบครัว 2–3 คน ลักษณะที่อยู่อาศัยเป็นบ้านเดี่ยว การรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยจากอินเทอร์เน็ต 2) การจัดการขยะมูลฝอยตามหลักการ 5Rs โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการลดการเกิดขยะมูลฝอย ด้านการนำขยะบางประเภทมาใช้ซ้ำโดยไม่ผ่านกระบวนการ และด้านการหลีกเลี่ยงการใช้ขยะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สำหรับด้านการนำขยะที่ใช้แล้วมาซ่อมแซมเพื่อนำกลับมาใช้ได้อีก มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และ ด้านการนำขยะไปผ่านกระบวนการก่อนนำมาใช้ซ้ำมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ และ 3) การเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลกับการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชน พบว่า กลุ่มที่มีอายุ อาชีพ และระยะเวลาอาศัยในพื้นที่เขตมีนบุรี มีการจัดการขยะมูลฝอยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 สำหรับกลุ่มที่มีเพศ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนสมาชิกในครอบครัว ลักษณะที่อยู่อาศัย และแหล่งที่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกันมีการจัดการขยะมูลฝอยไม่แตกต่างกัน</p>
พาทิศ สมัครเขตกิจ
อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ
รังสรรค์ ประเสริฐศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
95
109
-
การจัดประสบการณ์แบบศูนย์การเรียนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/dpssj/article/view/4993
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกำกับตนเองของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์แบบศูนย์การเรียน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนเทศบาลวัดเนินสุทธาวาส (สุทธิพงษ์ประชานุกูล) สำนักการศึกษา เทศบาลเมืองชลบุรี จำนวน 20 คน ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดประสบการณ์ และแบบสังเกตพฤติกรรมกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย โดยแบบสังเกตพฤติกรรมฯ มีค่า IOC 0.67 – 1.00 ค่าอำนาจจำแนก CITC 0.45 - 0.75 มีค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมิน (RAI) 0.90 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ (Cronbach’s Alpha) 0.87 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น (Pre-experimental Design) แบบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest-posttest Design) สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังได้รับการจัดประสบการณ์แบบศูนย์การเรียนเด็กปฐมวัยมีพฤติกรรมกำกับตนเองสูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์แบบศูนย์การเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
เสกสรร มาตวังแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-15
2025-08-15
4 2
110
122