https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/issue/feed
วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
2025-01-29T15:13:54+07:00
อาจารย์ ดร.ธนภรณ์ แซ่ลิ่ม
Tanaporn_10320@nmc.ac.th
Open Journal Systems
<p>ISSN 2774-1273 (Print) ISSN 3057-0964 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก</strong><span style="font-weight: 400;"> : 2 ฉบับต่อปี <br /></span><span style="font-weight: 400;"> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</span></p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่เปิดรับ </strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย (Research Article) รวมถึงวิทยานิพนธ์และการค้นคว้าอิสระ </li> <li>บทความวิชาการ (Article) </li> </ol> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : <br /></strong><span style="font-weight: 400;"> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ ทางด้านการศึกษาในทุกสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการศึกษา การวิจัย สถิติ หรือสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้องประเมินบทความ (Peer-review) จำนวน 3 ท่าน</span></p>
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3870
พระพรหมพิริยะ มาลัยรักษ์ สภาพการขาดแคลนกับระบบการพัฒนาการศึกษาไทยในปัจจุบัน
2024-08-22T16:53:10+07:00
พระพรหมพิริยะ มาลัยรักษ์
kraisin1986@gmail.com
สมชัย ศรีนอก
Kraisin1986@gmail.com
ชวาล ศิริวัฒ
Kraisin1986@gmail.com
<p>การพัฒนาโครงสร้างการศึกษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้เรียนในภาวะความขาดแคลนเป็นสิ่งสำคัญ โดยการใช้วิธีการสอนที่นำเสนอให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของผู้เรียน การใช้วิธีการสอนที่กระตุ้นความสนใจและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมในการทำงานกับผู้เรียน เพื่อสร้างความยั่งยืนและเชื่อมั่นในการสร้างชุมชนที่มีการศึกษาที่ดีและยั่งยืนการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศและสังคม แต่มีปัญหาเกี่ยวกับความขาดแคลนที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษา การพัฒนาคุณภาพการศึกษาบนภาวะความขาดแคลนเป็นกระบวนการที่ต้องมีการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล องค์กรเอกชน และชุมชน การรับรู้และทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรและชุมชน การสนับสนุนการศึกษาให้เป็นสิทธิทุกคนและสร้างการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมเพื่อลดความขาดแคลนในการศึกษา</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3899
พระมหาอุทิศ ธีรวโร ระบบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4
2024-10-09T11:44:31+07:00
พระมหาอุทิศ ธีรวโร
kraisin1986@gmail.com
พระมหาเชษฐา ฐานจาโร
t.tanjaro@gmail.com
<p>ระบบการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้ มีการประเมินผลย้อนกลับ เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข ให้ได้มาซึ่งระบบการสอนที่มีประสิทธิภาพดี ในทำนองเดียวกันก็เป็นหลักประกันในด้าน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการเรียนรู้และนักการศึกษาได้ออกแบบ ระบบการเรียนการสอน การพัฒนาทักษะชีวิตของผู้เรียนในปัจจุบันจำเป็นต้องมีระบบการสอนที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา หนึ่งในหลักธรรมที่สำคัญและเหมาะสมกับการพัฒนาทักษะชีวิตคืออิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา หลักธรรมนี้สามารถนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการสร้างระบบการสอนที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองในทุกด้านในระบบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ผู้สอนควรกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความพอใจและรักในสิ่งที่ตนเองกำลังเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้จักการพยายามและความขยันหมั่นเพียรในการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผู้สอนควรสร้างวิธีการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่ การใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและการให้ความสำคัญกับการตอบคำถามจะช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและเกิดความสนใจการทบทวนและพิจารณาสิ่งที่ได้เรียนรู้เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาทักษะชีวิตการพัฒนาตนเองการนำหลักอิทธิบาท 4 มาใช้ในการสอนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตจะช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิต โดยมีพื้นฐานจากความรักในสิ่งที่ทำ ความพยายาม ความตั้งใจ และการทบทวนอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ระบบการสอนที่ดีจะต้องมีการประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะชีวิตที่ยั่งยืน</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3898
พระมหาอุทิศ ธีรวโร ศึกษาการสอนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 วิชาหน้าที่พลเมืองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 12 กรณีศึกษา: โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-08-22T15:41:57+07:00
พระมหาอุทิศ ธีรวโร
kraisin1986@gmail.com
<p>การสอนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ในวิชาหน้าที่พลเมืองสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ ด้านวิมังสาการพินิจพิเคราะห์และทบทวนใช้วิธีการสอนให้นักเรียนรู้จักการวิเคราะห์และการประเมินผล การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล เป็นการเสริมสร้างทักษะการตัดสินใจและการวางแผนการสอนตามหลักอิทธิบาท 4 การสอนนี้เป็นการบูรณาการหลักธรรมเข้ากับวิชาหน้าที่พลเมือง ทำให้นักเรียนมีพื้นฐานที่ดีในการเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมจากการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการสอนวิชาหน้าที่พลเมือง นักเรียนได้รับประโยชน์ในการพัฒนาทักษะชีวิตที่ครอบคลุมทั้งในด้านการเรียนรู้ การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีความสามารถในการเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วยความมั่นใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะชีวิตที่สำคัญและสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ การนำหลักทธิบาท 4 ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และ วิมังสา ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะชีวิตให้กับนักเรียน ด้านฉันทะคือความพอใจในการเรียนรู้โดยใช้การสร้างความพอใจและแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน มีความตั้งใจ และมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้ ด้านวิริยะความพยายามในการเรียนรู้จัดกิจกรรมโดยการฝึกฝนให้มีความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน และไม่ย่อท้อ เป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแก้ไขปัญหาและการปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ ด้านจิตตะการจดจ่อและตั้งใจกระบวนการเน้นการฝึกฝนให้มีความตั้งใจในการเรียนรู้ การมีสมาธิและการจดจ่อกับการทำงาน</p> <p> </p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3395
การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2025-01-29T15:13:54+07:00
อรยา หมื่นพัฒ
650401320069@nmc.ac.th
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
wiralphat@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน ที่ปฏิบัติงานในกลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำนวน 144 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67–1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.86 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียน กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3399
ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2024-08-22T10:48:03+07:00
อานันท์ บำเหน็จ
650401320163@nmc.ac.th
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
wiralphat@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน ที่ปฏิบัติงานในกลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำนวน 144 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซีและมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67–1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.89 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา วังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวม และรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p> </p> <p> </p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3669
การพัฒนาหลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทย เพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียนวัชรวิทยา
2024-06-21T00:26:34+07:00
สุรพงษ์ กล่ำบุตร
naruedon8@gmail.com
ศิรวิทย์ ปฐมชัยวาลย์
naruedon8@gmail.com
นฤดล จันทรเพ็ชร์
naruedon8@gmail.com
มาเรียม นิลพันธุ์
naruedon8@gmail.com
ริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย
naruedon8@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาสัมมนาวิธีวิจัยเชิงผสมผสานวิธีและวิชาการพัฒนาหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ ตามหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียนวัชรวิทยา และ 2) ประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียน วัชรวิทยา มีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 2.1) ศึกษาความสามารถในการใช้ภาษาไทยเชิงบวกเพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนวัชรวิทยาเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ และ 2.2) ศึกษาความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการทำงานของครูโรงเรียนวัชรวิทยา กลุ่มเป้าหมายคือ ครูโรงเรียนวัชรวิทยา อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งมีประสบการณ์การสอนน้อยกว่า 5 ปี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย หลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียนวัชรวิทยา แบบสังเกตพฤติกรรมการสื่อสารภาษาไทยเชิงบวกสำหรับการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความสามารถในการสื่อสารภาษาไทยสำหรับการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยประชากร ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานจองประชากร และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. หลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียนวัชรวิทยา ประกอบด้วย 1) ที่มาและความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตร 2) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3) เนื้อหาสาระ 4) การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้โดยจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ 3 ระยะ 2. ประสิทธิผลของหลักสูตรเสริมร่วมกับการโค้ชที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารของครูโรงเรียนวัชรวิทยา พบว่า 2.1) ความสามารถในการใช้ภาษาไทยเชิงบวกเพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนวัชรวิทยามีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 19.60 คิดเป็นร้อยละ 98.02 สูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพร้อยละ 80 2.2) ความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อการทำงานของครูโรงเรียนวัชรวิทยาในภาพรวมอยู่ในระดับดี</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3771
การบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของสถานศึกษาในเครือมหาวิทยาลัยปทุมธานี สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์
2024-08-17T12:11:41+07:00
ธัญณภัสส์ ชนรักสุข
pookpuizaa9763@gmail.com
นลธวัช ยุทธวงศ์
pookpuizaa9763@gmail.com
สุรพงษ์ แสงสีมุข
pookpuizaa9763@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของสถานศึกษาในเครือมหาวิทยาลัยปทุมธานี สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2) หาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของสถานศึกษาในเครือมหาวิทยาลัยปทุมธานี สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ แบ่งการวิจัยเป็น 2 ขั้น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนของสถานศึกษาในเครือมหาวิทยาลัยปทุมธานี สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 84 คน และผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า:</p> <ol> <li>สภาพการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัล โดยรวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อันดับที่ 1 คือ งานสื่อการเรียนการสอน รองลงมาคือ งานวัดผลและประเมินผล งานแผนกวิชา งานพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน งานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี และอันดับสุดท้ายคือ งานวิทยบริการและห้องสมุด ปัญหาการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัล คือ ไม่มีแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานและให้บริการ ไม่มีการร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ครูไม่มีส่วนร่วมพัฒนาการวัดผลและประเมินผล การให้บริการห้องสมุดยังไม่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ไม่จัดให้มีการพัฒนางานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วม และไม่มีการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนการสอนให้ทันสมัย</li> <li>แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลคือ สถานศึกษาควรเปิดโอกาสให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมวางแผนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในสถานศึกษา มีการใช้กระบวนการนิเทศแบบเสริมแรงเพื่อให้บุคลากรร่วมกันพัฒนาหลักสูตรกับสถานประกอบการ มีการสำรวจความต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ควรจัดประชุมเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อสะท้อนผลการจัดกิจกรรมงานวิทยบริการและห้องสมุด ควรจัดการประชุมร่วมกับสถานประกอบการเพื่อกำหนดแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกัน และมีการศึกษาปัญหาการใช้สื่อ นวัตกรรมเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา</li> </ol>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3861
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สำนวน คำพังเพย สุภาษิต โดยใช้สื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบางชัน (ปลื้มวิทยานุสรณ์) สังกัดกรุงเทพมหานคร
2024-11-06T20:44:58+07:00
สุนทราภรณ์ อินอ่อน
640401320182@nmc.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สำนวน <br />คำพังเพย สุภาษิต ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้สื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน ก่อนและหลังการเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อสื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สำนวน คำพังเพย สุภาษิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนบางชัน (ปลื้มวิทยานุสรณ์) สำนักงานเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร จำนวน 35 คน (จำนวน 1 ห้องเรียน) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบ่งกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนด้วยการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สำนวน คำพังเพย สุภาษิต ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้สื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน ก่อนและหลังการเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อสื่อเกมการศึกษา บอร์ดเกมผจญภัยรู้จำ คำสำนวน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สำนวน คำพังเพย สุภาษิต อยู่ในระดับมาก</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4159
การบริหารงานวิชาการในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต3
2024-12-25T21:42:14+07:00
กำธร วรธงไชย
kobour.nmc@gmail.com
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
wiralphat@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 2) เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน ประชากรคือ ผู้บริหารและครูในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.931 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานของการวิจัยโดยใช้สถิติ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารงานวิชาการในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก</li> <li>เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนปักธงชัยชุณหะวัณวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านการวัดและประเมินผลการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และจำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมและด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4186
ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนกลุ่มอำเภอลำสนธิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2
2024-11-16T08:45:20+07:00
รณชัย บุรีมาศ
kobour.nmc@gmail.com
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
wiralphat@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอ ลำสนธิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 124 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.84 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">ผลเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอ ลำสนธิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความซื่อสัตย์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา