วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj <p>ISSN 2774-1273 (Print) ISSN 3057-0964 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก</strong><span style="font-weight: 400;"> : 2 ฉบับต่อปี <br /></span><span style="font-weight: 400;"> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</span></p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่เปิดรับ </strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย (Research Article) รวมถึงวิทยานิพนธ์และการค้นคว้าอิสระ </li> <li>บทความวิชาการ (Article) </li> </ol> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : <br /></strong><span style="font-weight: 400;"> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ ทางด้านการศึกษาในทุกสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดย</span>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน (บทความผู้นิพนธ์ภายนอก จะได้รับการพิจารณาจาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายใน ได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายบอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร) โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจาราณาบทความที่มีความเชี่ยวชวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่พิจารณาบทความไม่ทรามชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบ ชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review)</p> th-TH Tanaporn_10320@nmc.ac.th (อาจารย์ ดร.ธนภรณ์ แซ่ลิ่ม) Sopapron31pim@gmail.com (นางสาวโสภาพร ลุนสำโรง) Mon, 30 Jun 2025 00:18:11 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4783 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา และ 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน และครูผู้สอน จำนวน 163 คน โดยเลือกสุ่มแบบแบ่งชั้นรวมทั้งสิ้น จำนวน 168 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรในการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตาม ตำแหน่งการศึกษา โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ด้าน การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานแตกต่างกันมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p> </p> ปกรณ์ รองศักดิ์, องอาจ เทียมกลาง Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4783 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนด่านขุนทด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4780 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนด่านขุนทดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนด่านขุนทด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จําแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ในโรงเรียนด่านขุนทด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 108 คน เลือกโดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนด่านขุนทด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนด่านขุนทด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน</li> </ol> ชัชวาล จันทรทีประ, คัมภีร์ สุดแท้ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4780 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4781 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาวิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จําแนกตามประสบการณ์การทํางาน และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากรของวิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปีการศึกษา 2567 จํานวน 80 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างตามตารางเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคนิคนครโคราช สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน และระดับการศึกษาโดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> ธีรพงษ์ อินทรสมบัติ, คัมภีร์ สุดแท้ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4781 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารหลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4782 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 และ 2) เปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 โดยจำแนกตามตำแหน่งและระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 จำนวน 80 คน เลือกโดยวิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .93 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li> การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li> ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีตำแหน่งและระดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาห้วยแถลง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> มนทิรา เขียวสด Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4782 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวัน ของโรงเรียนวังวารีวนราษฎร์วัฒนา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4405 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนวังวารีวนราษฎร์วัฒนา 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนในเพศและระดับชั้นของโรงเรียนวังวารีวนราษฎร์วัฒนา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 84 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนวังวารีวนราษฎร์วัฒนาจำนวน 5 ด้าน (25 ข้อ) ประกอบด้วย ด้านคุณภาพอาหาร ด้านความสะอาดและความปลอดภัย ด้านภาชนะและอุปกรณ์ประกอบอาหาร ด้านสถานที่ประกอบและรับประทานอาหาร และด้านการให้บริการนักเรียน สถิติที่ใช้รวบรวมข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนโดยใช้การทดสอบ Mann-Whitney U และ Kruskal-Wallis</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ความพึงพอใจต่อการดำเนินโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน นักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยรวมระดับความพึงพอใจมากที่สุด (μ=4.57) เมื่อแยกเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด 4 ด้าน คือ ด้านการให้บริการนักเรียน (μ=4.70) ด้านความสะอาดและความปลอดภัย (μ=4.62) ด้านคุณภาพอาหาร (μ=4.58) และ ด้านภาชนะและอุปกรณ์ประกอบอาหาร (μ=4.51) ตามลำดับ และด้าน ที่มีความพึงพอใจระดับมาก มี 1 ด้าน คือ ด้านสถานที่ประกอบและรับประทานอาหาร (μ=4.45)</li> <li>ผลการเปรียบเทียบเพศ และระดับชั้นเรียน กับความพึงพอใจต่อการดำเนินโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน พบว่ามีความพึงพอใจต่อการดำเนินโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกัน</li> </ol> ศิริมงคล ทนทอง Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4405 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหิน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5150 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ 2) สังเคราะห์องค์ประกอบ 3) พัฒนาระบบ ประเมินระบบ และประเมินคู่มือ และ 4) ศึกษาประสิทธิภาพของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหิน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลการทางการศึกษา ผู้ปกครองนักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2) แบบประเมินระบบ และคู่มือ 3) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลการทางการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่ามัชฌิมเลขคณิต และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>นักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหินมีภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ขาดทักษะชีวิต และพัฒนาการล่าช้าได้รับผลกระทบจากสภาพครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และการใช้เทคโนโลยีโดยขาดการกำกับดูแลจึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ</li> <li>องค์ประกอบระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบการมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหิน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก 48 องค์ประกอบย่อย</li> <li>ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบการมีส่วนร่วม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก 29 องค์ประกอบย่อย มีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก และคู่มือระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบการมีส่วนร่วม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ประสิทธิภาพของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบการมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหิน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> สกุณา บุญรอดรัมย์ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5150 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การระดมทรัพยากรสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลรัปต์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3876 <p>กระบวนการที่เป็นเลิศในการระดมทรัพยากรสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลรัปต์ต้องอาศัยกระบวนการที่เป็นระบบและสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การจัดสรรงบประมาณและการลงทุนในทรัพยากรดิจิทัลตามทฤษฎีการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและชุมชนตามทฤษฎีการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยีเปิดและซอฟต์แวร์ฟรีตามทฤษฎีทรัพยากรแบบเปิด การพัฒนาทักษะบุคลากรตามทฤษฎีการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ การตั้งเป้าหมายและแผนกลยุทธ์ตามทฤษฎีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์ตามทฤษฎีการเรียนรู้ออนไลน์ การวางแผนการลงทุนและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องตามทฤษฎีการบริหารจัดการสินทรัพย์ และการประเมินผลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอตามทฤษฎีการประเมินผล โดยผู้เขียนเสนอแนวคิดองค์ประกอบและกระบวนการที่เป็นเลิศในการระดมทรัพยากรสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลรัปต์ในรูปแบบ 3P-UPLIFT เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ</p> วรพล ศรีเทพ, แก้วภัทรา จิตรอักษร Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/3876 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4135 <p> บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ หน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีความยากลำบากในการมารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษหลักประจำจังหวัด หน่วยบริการจะช่วยในการลดปัญหาเรื่องของการเดินทางของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่จะมารับบริการในการฟื้นฟูจากศูนย์การศึกษาพิเศษ ถ้าหากหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษมีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถที่จะพัฒนาศักยภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในชุมชนได้อย่างครอบคลุม ทั่วถึง เอื้อต่อความต้องการจำเป็นพิเศษของเด็กพิการเพื่อสร้างโอกาสในการทำงานหรือดำรงชีวิตในสังคมทัดเทียมคนทั่วไป การพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษมีความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กพิเศษ โดยต้องวางแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลร่วมกับผู้ปกครองและเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ในการจัดการศึกษาที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษได้อย่างเต็มที่ การใช้เทคโนโลยีและการวิจัยเพื่อประเมินผลการดำเนินงานจะช่วยให้การพัฒนาหน่วยบริการมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> ดุสิตา สันซัง, สุนทรี วรรณไพเราะ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/4135 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทโซเชียลมีเดียในการสื่อสาร : เหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพ 2025 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5124 <p> บทความนี้ศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของโซเชียลมีเดียในการสื่อสารระหว่างเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ ปี 2025 โดยเน้นไปที่การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการรายงานเหตุการณ์ การแจ้งเตือนภัย และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ พบว่า โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นในรูปแบบที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้แฮชแท็กและแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Twitter, Facebook และ TikTok เพื่อรายงานและแบ่งปันประสบการณ์จากพื้นที่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหาความล่าช้าของข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเมื่อเทียบกับข้อมูลที่เผยแพร่โดยประชาชน และปัญหาการแพร่กระจายของข่าวลวงที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่สังคม บทความนี้เสนอแนวทางการพัฒนาระบบเฝ้าระวังข้อมูล และการส่งเสริมพลเมืองดิจิทัลให้มีวิจารณญาณในการเสพข่าวสาร รวมถึงการบูรณาการการสื่อสารระหว่างภาครัฐและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อจัดการข้อมูลในภาวะวิกฤตอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้</p> นันท์นภัส อติเวศย์อังกูร, สุภาภรณ์ ศรีดี, กานต์ บุญศิริ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5124 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 โซเชียลมีเดียกับการสื่อสารความเสี่ยงโรคแอนแทรกซ์ ปี 2025 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5123 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของโซเชียลมีเดียในการสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพโดยเฉพาะ ในกรณีของโรคแอนแทรกซ์ในปี 2025 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกลับมาของโรคในบางพื้นที่ทั่วโลก ท่ามกลางบริบทของ สื่อสังคมออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทความวิเคราะห์กรณีศึกษาในประเทศต่าง ๆ เครื่องมือที่ใช้ กลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบของการสื่อสารต่อความเข้าใจและพฤติกรรมของประชาชน นำเสนอข้อเสนอแนะในการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสื่อสารความเสี่ยงที่เหมาะสมในภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ กับการระบาดของโรคติดเชื้อหลายชนิดที่สร้างความวิตกกังวลทั้งในระดับโลกและในประเทศต่างๆ การสื่อสารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลเป็นกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤตสุขภาพ เช่น โรคแอนแทรกซ์ในปี 2025 ที่มีการใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Facebook, X (Twitter) และ Telegram ซึ่งช่วยให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา อย่างไรก็ตาม การแพร่กระจายข้อมูลเท็จในโซเชียลมีเดียก็เป็นความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งอาจทำให้เกิดความตื่นตระหนกและการปฏิเสธนโยบายสาธารณสุข การสื่อสารในยุคดิจิทัลต้องคำนึงถึงความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการมีส่วนร่วมและการตอบสนองที่ตรงประเด็น เพื่อให้ข้อมูล ที่โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้ประชาชนเข้าใจง่าย และน่าสนใจการสื่อสารความเสี่ยงผ่านโซเชียลมีเดียจึงต้องมีการจัดการข้อมูลอย่างมืออาชีพและโปร่งใสเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกในสังคม</p> นันท์นภัส อติเวศย์อังกูร, สุภาภรณ์ ศรีดี, กานต์ บุญศิริ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunmcj/article/view/5123 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700