วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ
th-TH
วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
2697-5890
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารครุศาสตร์เล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนครพนม และคณาจารย์ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
พลังอำนาจการศึกษาเชิงพื้นที่ในการจัดการทรัพยากรพื้นถิ่นของสังคมวัฒนธรรมล้านนาผ่านระบบโรงเรียนไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4448
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถอดบทเรียนความสำเร็จและความท้าทายของการเรียนการสอนเชิงพื้นที่ในการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นในโรงเรียน และ 2) เสนอแนวทางการสร้างสรรค์วัฒนธรรมซอฟต์พาวเวอร์ผ่านระบบโรงเรียนไทย โดยใช้แนวคิดพลังอำนาจทางการศึกษาเชิงพื้นที่เป็นกรอบวิเคราะห์หลัก การศึกษาเป็นแบบเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารควบคู่กับการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก สนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียน ครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้นำชุมชนในเขตชุมชนวัวลาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการจัดการเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนาโดยเฉพาะหัตถกรรมเครื่องเงินในโรงเรียนเทศบาลวัดศรีสุพรรณอย่างต่อเนื่อง</p> <p> การจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่สามารถบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าสู่หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างอัตลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน อย่างไรก็ตาม ยังพบข้อจำกัดในด้านความสนใจของผู้เรียนยุคใหม่และศักยภาพของครูในการออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมกับทักษะศตวรรษที่ 21 จากการสังเคราะห์ข้อมูล บทความนี้เสนอแนวทางการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ผ่านระบบโรงเรียนไทย 5 แนวทาง ได้แก่ การออกแบบหลักสูตรเชิงพื้นที่ การเปิดพื้นที่เรียนรู้ร่วมกับชุมชน การบูรณาการทักษะสมัยใหม่กับวัฒนธรรม การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการใช้ Soft Media สื่อสารวัฒนธรรม บทความนี้จึงชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนสามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมท้องถิ่นสู่เวทีโลกได้อย่างยั่งยืน หากมีการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ที่เข้มแข็งและมีการบูรณาการอย่างสร้างสรรค์ </p>
กฤติภัทร สระทองชุน
นพมาศ ภูเงินงาม
ชรินทร์ มั่งคั่ง
วรินทร สิริพงษ์ณภัทร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
1
11
-
แบบฝึกทักษะ: การยืนยันคุณค่าใหม่ในยุคการศึกษาไทยเปลี่ยนผ่าน
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/5515
<p> ในยุคดิจิทัล บทความนี้ยืนยันคุณค่าของแบบฝึกทักษะ ซึ่งมักถูกมองว่าล้าสมัยและถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงแบบฝึกหัดทั่วไปที่ขาดคุณค่าทางวิชาการ เพื่อแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาเอกสารวิชาการและสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงสำรวจงานวิจัยในไทย (พ.ศ. 2564-2568) ผลการวิเคราะห์พบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน 5 ประการ ได้แก่ ความสับสนทางศัพท์บัญญัติ การมองว่าขาดคุณค่าทางวิชาการ การจำกัดบทบาทเพียงพัฒนาความจำ การเชื่อว่าไม่กระตุ้นแรงจูงใจ และการยึดติดรูปแบบตายตัว อย่างไรก็ตาม แบบฝึกทักษะสามารถบูรณาการทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัยเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูง และมีโครงสร้าง 3 ส่วน คือ ส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วนท้าย รวมทั้งสามารถประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ การศึกษาสรุปว่าแบบฝึกทักษะยังคงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมและเข้าถึงได้จริงในระบบการศึกษาไทย</p> <p> </p>
เจษฎา บุญมาโฮม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
12
26
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และความมุ่งมั่นในการทำงานโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4564
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กับเกณฑ์ร้อยละ 65 3) เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 4) เพื่อศึกษาความมุ่งมั่นในการทำงานหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 27 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับใช้ปัญหาเป็นฐาน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบวัดความมุ่งมั่นในการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 65 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้ ในระดับพอใช้ ร้อยละ 40.74 รองลงมา ระดับปรับปรุง ร้อยละ 22.22 สุดท้ายระดับดีและดีมาก ร้อยละ 18.52 และ 4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความมุ่งมั่นในการทำงานหลังการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
Warissara Rattanakun
ยุภาดี ปณะราช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
27
40
-
การออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีพื้นบ้านโปงลาง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4575
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสบการณ์และความต้องการจำเป็นในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการปฏิบัติดนตรีโปงลางของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) ออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้จากประสบการณ์ และ 3) ศึกษาผลการใช้ต้นแบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้จากประสบการณ์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยออกแบบทางการศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ (1) วิเคราะห์และสำรวจ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ครูและนักเรียน รวมถึงการสร้างผู้ใช้จำลอง (2) ออกแบบและพัฒนา ผ่านการสังเคราะห์ข้อมูล การระดมสมอง และการประเมินคุณภาพนวัตกรรม (3) การประเมินและสะท้อนคิด โดยใช้แบบทดสอบสถานการณ์จำลองและแบบประเมินชุดกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครูสอนดนตรี 6 คน และนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 จาก 6 โรงเรียน รวม 115 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ด้วยวิธีสุ่มด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูต้องการเสริมสร้างทักษะทางดนตรีให้แก่นักเรียน ขณะที่นักเรียนต้องการสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาทักษะการเล่นโปงลางผ่านการปฏิบัติจริง 2) ชุดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ สื่อ ใบกิจกรรม แบบฝึกหัด และแบบทดสอบก่อน-หลังเรียน รวม 5 กิจกรรม และ 3) ผลการใช้ต้นแบบชุดกิจกรรมพบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีพื้นบ้านโปงลางของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 61.7 - 66.2 แสดงให้เห็นว่านักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีพื้นบ้านโปงลางได้อย่างต่อเนื่อง</p>
surachai jangkot
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
41
56
-
การออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4890
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ความต้องการพัฒนากิจกรรมเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) ออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้การส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ3) ศึกษาผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ดำเนินการวิจัยตามแนวทางการวิจัยเชิงออกแบบ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์และสำรวจ ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนาต้นแบบ และระยะที่ 3 การประเมินและสะท้อนคิด กลุ่มตัวอย่างในระยะ ที่ 1 ได้แก่ ครูผู้สอนวิชาวิทยาการคำนวณ 6 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 213 คน จากโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ระยะที่ 2 เป็นกลุ่มสร้างต้นแบบ ได้แก่ นักวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษา และนักออกแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ รวม 7 คน ระยะที่ 3 ใช้กลุ่มทดลองคือ ครู 1 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 จำนวน 31 คน โรงเรียนบ้านดินจี่ เครื่องมือในการเก็บข้อมูล เช่น แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนา แบบประเมินคุณภาพชุดกิจกรรม แบบวัดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบประเมินความพึงพอใจ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีสอนแบบบรรยาย ส่งผลให้นักเรียนขาดความกระตือรือร้น และทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ครูต้องการสื่อการสอนที่หลากหลาย เช่น เกม วิดีโอ และกิจกรรมเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ชุดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย กิจกรรมเรียนรู้ออนไลน์ผ่าน Google Site แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อ ใบความรู้ คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม แบบวัดทักษะ และแบบประเมินความพึงพอใจ รวมทั้งหมด 3 กิจกรรม และ 3) ผลการทดลองใช้พบว่า นักเรียนมีผลการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 84.52 คิดเป็นร้อยละ 100 ของคะแนนเต็ม มีนักเรียนที่ผ่านการประเมิน จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 ผลการประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ พบว่านักเรียนมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณทุกด้านมีคะแนนเฉลี่ยรวม ( \bar{x}- 24.93, S.D<em>.</em>- 0.30) ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังจากที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (\bar{x} - 4.22, S.D<em>.</em>- 0.20) และมีผลการสะท้อนคิดการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูผู้สอนวิชาวิทยาการคำนวณ หลังจากทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (\bar{x} - 4.90, S.D<em>.</em>- 0.32)</p>
Lalida Kosonkestiskl
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
57
72
-
การฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4973
<p> การฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 เป็นภารกิจหลักของโรงเรียนทุกแห่ง การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียน (2) ประเมินความต้องการจำเป็นของการฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 232 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 2 ฉบับ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและดัชนีการจัดลำดับความสำคัญความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (Modified Priority Needs Index: PNI <sub>Modified</sub>)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า (1) สภาพปัจจุบันการฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์การฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ผลการประเมินความต้องการจำเป็นการฟื้นฟูการศึกษาภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการเพิ่มประสิทธิผลการเรียนรู้ ด้านการสร้างองค์ความรู้พื้นฐาน ด้านการประเมินการเรียนรู้ ด้านการเข้าถึงเด็ก และด้านสุขภาวะทางจิต ตามลำดับ</p>
ภูวดล แวงดีสอน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
73
81
-
การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การเลี้ยงสัตว์ปีกในท้องถิ่น” บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อมุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ น้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/5367
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การเลี้ยงสัตว์ปีกในท้องถิ่น” บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อมุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ น้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนป่าติ้ววิทยา 2) หาประสิทธิภาพของหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม ตามเกณฑ์ 80/80 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังจากการเรียนหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การเลี้ยงสัตว์ปีกในท้องถิ่น” บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อมุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ น้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบวิจัยและพัฒนา (Research and Development) 4 ระยะ 1) การวิจัย (Research : R<sub>1</sub>) 2) การพัฒนา (Development : D<sub>1</sub>) 3) การวิจัย (Research : R<sub>2</sub>) 4) การพัฒนา (Development : D<sub>2</sub>) กลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนป่าติ้ววิทยา ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 27 คน เป็นเวลา 40 ชั่วโมง กลุ่มตัวอย่างได้มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การเลี้ยงสัตว์ปีกในท้องถิ่น” สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เครื่องมือวิจัยได้ แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินสมรรถนะอาชีพ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย ความสำคัญและความจำเป็นของการพัฒนาหลักสูตร หลักการ จุดหมายของรายวิชา คำอธิบายรายวิชา ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา แนวทางการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผล และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผนการเรียนรู้ หลักสูตรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.62/85.31 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจหลังจากการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
sommai kaopiew
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
6 2
82
96