วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารครุศาสตร์เล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนครพนม และคณาจารย์ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> edunpujournal@gmail.com (อาจารย์ ดร.สุทธิลักษณ์ สวรรยาวิสุทธิ์) edunpujournal@gmail.com (นางสาวกฤติกา ยศอินทร์) Wed, 30 Apr 2025 15:08:55 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 Employing Diverse Teaching Approaches to Enhance EFL Learners' Speaking and Listening Skills: Basis for Curriculum Design https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4156 <p style="font-weight: 400;">This study explored the diverse teaching approaches in debate class among EFL learners employing mixed-method research design. The data were gathered through questionnaires distributed to students, along with the open-ended questions and structured interviews to gain deeper insights into their experiences and perceptions with diverse instructional approaches. The participants of this study were thirty-seven (37) third-year English major students from the Faculty of Education. The results revealed that extemporaneous speech activities, class lectures, and group presentations all positively impacted learners' speaking and listening skills. Among these approaches, group debates was reported as the most preferred approach, indicating a significant difference the EFL learners’ perceptions and the diverse teaching approaches. The implications of these findings suggest that educators should prioritize integrating preferred teaching methods into the curriculum design to enhance EFL learners' debate performance and overall language proficiency. Recognizing and implementing diverse approaches, teachers can better address the different needs and preferences of their students, and most importantly a more effective learning environment. However, the study also faced some limitations. The sample size was relatively small and limited to a specific major at the university, which may restrict the generalizations of the findings. Additionally, the reliance on self-reported data could introduce bias, as students might have provided socially desirable responses. Future researchers may aim to include larger, more diverse participants to further investigate the long-term effects of teaching approaches on EFL learners' speaking and listening skills. The conclusion of this research contributes to the understanding of how various teaching strategies can enhance speaking and listening skills, informing educators, school and university administrators in their efforts to improve EFL instruction.</p> Alvin Datugan Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4156 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4460 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT เปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 4.21 , = 0.57)</p> patomporn paenghom, ประภาพร หนองหารพิทักษ์ , ปวีณา ขันธ์ศิลา Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4460 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านบทร้อยกรอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4677 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสามารถการอ่านบทร้อยกรอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่าน<br />บทร้อยกรองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน จากแบบฝึกทักษะการอ่าน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะการอ่านร้อยกรอง แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านบทร้อยกรอง สถิติที่ใช้<br />ในการวิจัย ได้แก่ การทดสอบค่า t-test แบบ Dependent Samples และ t-test for One Sample</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถอ่านบทร้อยกรองโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านบทร้อยกรองของนักเรียน<br />ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยมีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนที่ ( = 13.27, S.D. = 0.93) ความสามารถการอ่านบทร้อยกรองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จึงมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ที่ระดับนัยสำคัญระดับ .05 2) ความสามารถในการอ่านบทร้อยกรองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยความสามารถการอ่านบทร้อยกรองรายด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยเรียงจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด คือ อันดับที่ 1 ความสามารถการอ่านบทร้อยกรองและการอ่านกลองเพลงยาว มีค่าเฉลี่ยที่ ( <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.75, S.D. = 0.43) อันดับที่ 2 ความสามารถการอ่านกลอนบทละคร มีค่าเฉลี่ยที่ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.6, S.D. = 0.49) อันดับที่ 3 ความสามารถการอ่านกลอนสุภาพและการอ่านกลอนเสภา <br />มีค่าเฉลี่ยที่ ( <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.57, S.D. = 0.50) อันดับที่ 4 ความสามารถการอ่านกาพย์ยานี 11 และการอ่านกาพย์ฉบัง 16 มีค่าเฉลี่ยที่ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> = 4.55, S.D. = 0.50) และอันดันดับที่ 5 ความสามารถการอ่านโคลงสี่สุภาพ มีค่าเฉลี่ยที่ ( <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 4.52, S.D. = 0.50) ตามลำดับ</p> ฐนพรรณ ธูปหอม Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4677 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง นิราศนรินทร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I.) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4636 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง นิราศนรินทร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I.) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง นิราศนรินทร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม (G.I.) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I.) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 39 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน–หลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test Dependent Samples</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเรื่อง นิราศนรินทร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I.) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.69/86.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง นิราศนรินทร์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I.) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.79 หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.21 แสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<strong> </strong>3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.09</p> สุภัทรสร กระเบื้องเก่า, พรจรัส สิรินาวากุล, มัลลิกา มาภา Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4636 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการทรงท่าเพื่อลดพฤติกรรมการกระตุ้นตนเอง “การกัดปกคอเสื้อ” ในนักเรียนออทิสติก https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4249 <p> การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสลับกลับ (The ABAB Reversal Design) มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดกิจกรรมการทรงท่าเพื่อลดพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” ในนักเรียนออทิสติก 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ”ของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมการทรงท่า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนออทิสติก เพศหญิง อายุ 7 ปี ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดตาก สาขาแม่สอด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการทรงท่า ประกอบด้วย การนั่งชิงช้าหยิบห่วงใส่หลัก การนั่งบอลหยิบห่วงใส่หลัก และการกระโดดแทรมโพลีนหยิบห่วงใส่หลัก โดยผู้วิจัยได้เลือกกิจกรรมที่มีความหมายและเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนชอบและสนใจที่ต้องการอยากจะฝึก ผู้วิจัยจึงนำการหยิบห่วงใส่หลักมาฝึกร่วมกับการฝึกชุดกิจกรรมการทรงท่า 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการกระตุ้นเอง “กัดปกคอเสื้อ”ก่อนการใช้ชุดกิจกรรมการกระตุ้นการทรงท่า ระยะการใช้ชุดกิจกรรมการกระตุ้นการทรงท่า ระยะหลังการถอดถอนการใช้ชุดกิจกรรมการกระตุ้นการทรงท่า และระยะการใช้ชุดกิจกรรมการกระตุ้นการทรงท่า 3) แผนการสอนเฉพาะบุคคลด้วยชุดกิจกรรมการทรงท่า วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย </p> <p> ผลการวิจัยปรากฏว่า นักเรียนออทิสติกมีพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” หลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการทรงท่า แล้วพบว่ามีพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” ลดลงซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้และเมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” ของนักเรียนออทิสติกที่ได้รับการฝึกด้วยชุดกิจกรรมการทรงท่าพบว่า นักเรียนออทิสติกที่มีพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ”ดังนี้ ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” ในระยะที่ 1 กับในระยะที่ 2 พบว่า นักเรียนออทิสติกมีพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง “กัดปกคอเสื้อ” ลดลง คิดเป็นร้อยละ 35.75</p> Sumintra Phamornpon Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4249 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบระบบบริการห้องสมุดแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4456 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ความต้องการใช้ระบบบริการห้องสมุดแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ 2) พัฒนาระบบบริการห้องสมุดแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พื้นที่นามน จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 341 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างโดยอ้างอิงจากตารางของ Krejcie และ Morgan จากประชากรทั้งหมด 2,997 คน รวมถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พื้นที่นามน จำนวน 6 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบริการห้องสมุด จำนวน 3 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง การวิจัยนี้ใช้แนวคิดการออกแบบบริการ (Service Design) และทฤษฎีการมีส่วนร่วม (Participatory Theory) โดยดำเนินการวิจัย 2 ระยะ และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการของนักศึกษาต้องการห้องสมุดเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=4.34) ปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการอย่างต่อเนื่อง (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=4.34) ใช้บริการห้องสมุดในรูปแบบออนไลน์ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=4.09) พึงพอใจกับการให้บริการของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=4.09) สนับสนุนการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.80) ใช้บริการห้องสมุดเป็นประจำ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.80) ห้องสมุดควรทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่น ๆ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.73) มีพฤติกรรมการค้นคว้าข้อมูลและเรียนรู้ด้วยตนเอง (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.73) เป็นแหล่งที่ผู้ใช้สามารถค้นหาความรู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีข้อจำกัด (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.70) ห้องสมุดมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />=3.60) และความต้องการของอาจารย์ <u>ด้านบทบาท</u> ควรสนับสนุนการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ จัดกิจกรรมที่หลากหลายเชื่อมโยงกับการเรียนรู้แบบดิจิทัล มีระบบที่เข้าถึงได้ง่ายและอิสระในการค้นคว้า <u>ด้านอารมณ์</u> บรรยากาศยังไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ต้องการรับบริการที่รวดเร็ว <u>ด้านการรับรู้</u> ทรัพยากรยังไม่เพียงพอและทันสมัย <u>ด้านพฤติกรรม</u> ยังขาดความถี่ในการใช้บริการ มีการใช้ระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น <u>ด้านเจตคติ</u> มีทัศนคติที่ดีต่อห้องสมุดมองว่าเป็นสถานที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ให้หลากหลาย การเปิดบริการออนไลน์ และต้องปรับตัวตามความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้ และได้ออกแบบระบบบริการห้องสมุด KSU. Lifelong Learning for Library มีองค์ประกอบเป็นชุดความรู้จำนวน 7 ชุดความรู้ มีคู่มือชุดความรู้ให้กับผู้ใช้บริการและบรรณารักษณ์ โดยระบบบริการห้องสมุดที่พัฒนาขึ้นได้สร้างเป็นลิงค์เว็บไซต์และ QR Code เพื่อให้ผู้ใช้ระบบห้องสมุดสามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีอินเทอร์เน็ตผลการประเมินคุณภาพระบบบริการห้องสมุด KSU Lifelong Learning for Library มีคุณภาพเหมาะสมอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 4.12 สามารถนำไปใช้ได้ </p> อาวุธ โสเพ็ง Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4456 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และความใฝ่เรียนรู้ โดยการบูรณาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4568 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม กับเกณฑ์ ร้อยละ 70 3) ศึกษาการสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์หลังจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม และ 4) ศึกษาความใฝ่เรียนรู้หลังจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเชียงเพ็งวิทยา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม จำนวน 10 แผน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางการเรียนคณิตศาสตร์เป็นแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ แบบวัดทักษะการสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์เป็นแบบอัตนัย จำนวน 4 ข้อ และแบบวัดความใฝ่เรียนรู้เป็นแบบสอบถาม จำนวน 8 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่และร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 21.96, S.D. = 0.82) และ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 14.27, S.D. = 3.00) ตามลำดับ</p> <p> 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 21.96, S.D. = 0.82) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์</p> <p> 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีการสื่อสารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม ในระดับดี มากที่สุดจำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 46.15 รองลงมาเป็นระดับดีมาก จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 30.77 และระดับพอใช้ จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 23.08 ตามลำดับ</p> <p> 4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความใฝ่เรียนรู้หลังจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับวิธีการสอนโดยใช้เกม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 4.59, S.D. = 0.49) และรองลงมาเป็นการบันทึกความรู้ (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 4.69, S.D. = 0.47) ความอยากรู้อยากเห็น (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />= 4.62, S.D. = 0.50) ตามลำดับ</p> ธรากร อ่อนตาจันทร์, ยุภาดี ปณะราช Copyright (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/edunpuJ/article/view/4568 Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700