วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ghuru <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง</strong><br />บัณฑิตศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ 10240 โทร. 02-310-8250 ต่อ 7</p> <p>วารสารมีนโยบายรับวารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงรับตีพิมพ์ผลงานวิชาการในรูปแบบบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ และบทวิจารณ์หนังสือภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ สาขาวิชาภาษาและวรรณคดี วัฒนธรรมและวัฒนธรรมศึกษา การแปล สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ปรัชญาและศาสนา บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ และสาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารและไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</p> <p>การตีพิมพ์บทความต้องผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง <span style="font-size: 0.875rem;">จำนวน 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบันที่ไม่ใช่สถาบันที่ผู้เขียนบทความสังกัด หลักเกณฑ์การกลั่นกรองและการประเมินคุณภาพบทความสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานการประเมินคุณภาพบทความ โดยผู้ประเมินจะไม่เห็นชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนจะบทความไม่ทราบผู้ประเมิน (double blind review)</span></p> <p> </p> <p> </p> บัณฑิตศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง (Office of Graduate School, Faculty of Humanities, Ramkhamhaeng University) th-TH วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2286-7457 การศึกษาเปรียบเทียบแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนราชวินิต นนทบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ghuru/article/view/5085 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนราชวินิตนนทบุรี 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างของนักเรียนโรงเรียนราชวินิตนนทบุรี&nbsp;จำแนกตามเพศ และระดับชั้น โดยการศึกษานี้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนราชวินิต นนทบุรี จำนวน 333 คน โดยเป็นนักเรียนเพศชาย จำนวน 175 คน ร้อยละ 52.6 และเพศหญิง จำนวน 158 คน ร้อยละ 47.4 หากแบ่งตามระดับการศึกษาเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 178 คน ร้อยละ 53.5 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 155 คน ร้อยละ 46.5 เครื่องมือการวิจัยคือแบบประเมินแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่าง ฉบับภาษาไทย ประกอบไปด้วย 8 องค์ประกอบ 37 ตัววัด ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ความสนุกสนาน 2) การฝึกฝน 3) การมีส่วนร่วมในสังคม 4) ภาพลักษณ์ 5) การแข่งขัน/การเปรียบเทียบกับผู้อื่น 6) สภาวะทางจิตใจ 7) สภาวะทางร่างกาย 8) ความประทับใจ/การคาดหวังจากผู้อื่น การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจและการเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย&nbsp;จำแนกตามเพศ และระดับชั้นด้วยการวิเคราะห์ค่าที (Independent t-test) ผลการศึกษา&nbsp;พบว่า การเปรียบเทียบแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างของนักเรียน ระหว่างเพศ&nbsp;พบความแตกต่างกันทางสถิติ&nbsp;และเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ย พบว่า นักเรียนชายมีการออกกำลังกายมากกว่านักเรียนหญิง และการเปรียบเทียบแรงจูงใจในกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างของนักเรียน ระหว่างระดับชั้น ในภาพรวมไม่พบความแตกต่างกันทางสถิติ&nbsp;และเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ย พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีกิจกรรมทางกายและการใช้เวลาว่างมากกว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong><strong>แรงจูงใจ</strong><strong>, </strong><strong>กิจกรรมทางกาย</strong><strong>, </strong><strong>การใช้เวลาว่าง</strong></p> ธนิดา ภาสะวณิช ชุติพร ทุมโยมา นรีอร สุระดี ธัญนันท์ มาลี กนกพรรณ กลิ้งทะเล สุนทร แม้นสงวน Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2025-08-08 2025-08-08 14 1 17 32 การตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ghuru/article/view/5084 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในประเทศไทย&nbsp;2) เปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในประเทศไทยในแต่ละภูมิภาค&nbsp;จำแนกตามเพศ และระดับชั้น กลุ่มตัวอย่าง&nbsp;เป็นนักเรียนโรงเรียนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขั้นพื้นฐาน &nbsp;ภาคเรียนที่ 1&nbsp;ปี การศึกษา 2567 จาก 6 ภาคของประเทศไทย ภาคละ 2 จังหวัด ๆ ละ 1โรงเรียน รวมทั้งสิ้น จำนวน 12 โรงเรียน&nbsp;จำนวน 480 คน&nbsp;เครื่องมือวิจัย<strong>&nbsp;</strong>แบบสอบถามการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย&nbsp;การวิเคราะห์ข้อมูล<strong>&nbsp;</strong>1) &nbsp;การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ (Frequency),&nbsp;ร้อยละ (Percentage), &nbsp;ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)&nbsp;2)&nbsp;ทำการเปรียบเทียบด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว One-Way ANOVA&nbsp;และเมื่อพบความแตกต่างใช้สถิติการเปรียบเทียบรายคู่แบบ Scheffe&nbsp;ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) นักเรียนมีการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผล&nbsp;เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายด้าน พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในประเทศไทยมีการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลอยู่ใน&nbsp;“ระดับปานกลาง”&nbsp;ทุกด้าน ยกเว้นเหตุผลด้านสุขภาพที่อยู่ใน “ระดับมาก” จำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายมีการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลเฉลี่ยสูงกว่าเพศหญิงในทุกด้าน&nbsp;และจำแนกตามระดับชั้น พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในทุกด้าน ยกเว้นด้านการตัดสินใจด้วยเหตุผลสถานการณ์ภายนอกบังคับที่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผลเฉลี่ยสูงกว่า</p> <p>&nbsp;2) การเปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างมีเหตุผล&nbsp;จำแนกตามภูมิภาค&nbsp;พบว่า ในภาพรวมและรายด้านไม่มีความแตกต่างทางสถิติ&nbsp;(F = 1.35, <em>p</em>&nbsp;= 0.23)</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>&nbsp;: การตัดสินใจ, แบบสอบถาม, นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา</p> ธนิดา ภาสะวณิช กิตติศักดิ์ สินศิริวัฒนา วิทยา สง่างาม ธิติมา เหยียดกระโทก สุนทร แม้นสงวน Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2025-08-08 2025-08-08 14 1 33 48 The Happiness Seeker: A short story in German lessons for advanced beginners https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ghuru/article/view/5116 <p>A lot of information is found on mobile phones every day. All kinds of information are exchanged through Line, Facebook and Instagram. <em>The Happiness Seeker</em> is a short fictional story accidentally sent to the authors via Line and told in Thai. This tale resembles a fable in that it describes animal characters that represent human conditions and behavior and their problems. Despite its brevity and simplicity, the story is a well-structured whole that builds tension and resolves it in a final punch line. The main purpose of the narration is not only for instruction but also for pleasure. For these reasons it is interesting to use this story in German lessons. The aim of this work is to show how the story <em>The Happiness Seeker</em> can be used tangibly and systematically in German lessons for advanced beginners. A step-by-step teaching model is created to show how the language skills of the learners can be developed.</p> สุภัทรา ห้วยหงษ์ทอง ประภาวดี กุศลรอด พัชรินทร์ ชัยวรรณ ทิ เวียต ฮา เล Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ ฉบับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2025-07-31 2025-07-31 14 1 1 16