วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru
<p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (Journal of Humanities and Social Sciences Bansomdejchaopraya Rajabhat University) ได้เริ่มจัดทำวารสารฉบับออนไลน์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ราย 6 เดือน) ได้แก่ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม) วารสารผ่านการรับรองเป็นวารสารกลุ่มที่ 2 ของฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 (รับรองคุณภาพวารสารเป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2568-2572)</p> <p>ISSN 2822-1516 (Print) ISSN 2985-0169 (Online)</p>คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาth-THวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา1906-1102ส่วนหน้าวารสาร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/4657
<p>-</p>กองบรรณาธิการ
Copyright (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-312024-12-31191การใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/2740
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของ จำนวน 30 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของ เท่ากับ 82.25/83.89 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ที่กำหนดไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลเชียงของ พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุดด้านการจัดกิจกรรมด้านการประเมินผลด้านการออกแบบสื่อการเรียนรู้ และมีความพึงพอใจมากด้านเนื้อหาตามลำดับ</p>นฤเดช สุริยะวงค์สุกัญญา ขลิบเงินสุทัศน์ คล้ายสุวรรณ์
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-242024-12-24191124การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยการนวดแผนไทยและยกระดับมาตรฐานการบริการของชุมชนเขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3405
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงปัจจัยกระทบที่มีต่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหลังเกิด COVID-19 และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพการนวดแผนไทย ของชุมชนวัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ เพิ่มทักษะการนวดแผนไทยของบุคลากรในชุมชนวัดพุทธบูชาให้ได้มาตรฐานการบริการนวดเพื่อสุขภาพ ของ SHA Plus ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์ความเสี่ยง ปัจจัยกระทบที่มีต่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหลังเกิด COVID-19 มีการกำหนดเกณฑ์การประเมินมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหลังเกิด COVID-19 ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในชุมชนวัดพุทธบูชาได้มีการวางแผนและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีการประเมินโอกาสและผลกระทบของความเสี่ยงผู้ประกอบร้านนวดการนำความเสี่ยงที่เคยมีประสบการณ์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมไปถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง ผู้ประกอบการร้านนวดในชุมชนวัดพุทธบูชา ได้เห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการกลับมาของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีการแพร่ระบาดกลายพันธุ์ มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นแพร่ระบาดมากขึ้นทางผู้ประกอบการณ์เล็งเห็นคาดการณ์ไปถึงความเสียหายที่ตามมาเนื่องจากมีประสบการณ์จากการแพร่ระบาดของโรคอยู่สม่ำเสมอ โดยจัดหาทางเลือกสำหรับการดำเนินงานที่ปลอดภัยการจัดลำดับความเสี่ยง ซึ่งทางผู้ประกอบการณ์ได้จัดลำดับขึ้นหลังจากทราบถึงระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาด COVID-19 พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนวดแผนไทยของชุมชนวัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ โดยได้มีร้านนวดแผนไทยของชุมชนวัดพุทธบูชาทั้งหมด 3 ร้านร่วมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ได้แก่ ร้านคชานวดเพื่อสุขภาพ ร้านพุทธบูชานวดเพื่อสุขภาพร้านนวดพุทธบูชา ยังสามารถเพิ่มทักษะการนวดแผนไทยของบุคลากรในชุมชนวัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ ให้ได้มาตรฐานการบริการการนวดเพื่อสุขภาพของ SHA Plus โดยกิจกรรมการฝึกอบรมเพิ่มทักษะการนวดแผนไทยของบุคลากรในชุมชนวัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ ได้มาตรฐานการบริการการนวดเพื่อสุขภาพของ SHA Plus มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประกอบการกิจการนวดแผนไทยในเขตทุ่งครุ ผู้สูงอายุ และแม่บ้านว่างงาน โดยทำให้แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของชุมชนวัดพุทธบูชา เขตทุ่งครุ มีศักยภาพความพร้อมด้านการนวดแผนไทย 3 แหล่ง และฝึกอบรมบุคลากรชุมชน และการจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (One Day Trip) สรุปผลการวิเคราะห์และจัดทำแผ่นที่เส้นทางท่องเที่ยวในรูปแบบเทคโนโลยีความจริงเสริม (Augmented Reality: AR) สามารถนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อย่างครอบคลุมพื้นที่</p>รณกฤต เพชรเกลี้ยงสายฝน ทรงเสี่ยงไชยณิชาภา แก้วประดับเตชสิทธิ์ รัศมีวงศ์พรอาวุธ หงส์ศิริ
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-092025-01-091912552การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3812
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) ศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 383 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับและแบบตรวจสอบรายการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T – distribution ค่า F – distribution และการวิเคราะห์ ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในภาพรวมมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านอาชีพของประชาชนที่แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนปัจจัยด้านเพศ อายุ รายได้ การศึกษา สถานภาพสมรส ที่ต่างกัน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และ 3) ปัจจัยด้านอำนาจ โอกาส และสิ่งจูงใจ มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเทศบาลตำบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>ปิยะนุช ตันเจริญ
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-102025-01-101915382การมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/4133
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 2) ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้บริหาร อาจารย์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกในการส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางพัฒนาและส่งเสริมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาแบบมีส่วนร่วม ประชากรที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาความเป็นพลเมือง จำนวน 565 คน 2)ผู้บริหารฝ่ายวิชาการและอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับกับการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา รวม 15 คน และ 3) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหน่วยงานภายนอก 4 แห่ง จำนวน 44 คน การสุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยเลือกนักศึกษา 300 คน จาก 6 หมู่เรียน และระยะที่ 2 ใช้การสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงเลือกผู้บริหารและอาจารย์ 6 คน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 7 คน สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างซึ่งผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) อยู่ในช่วง 0.60-0.80 โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านในการตรวจพิจารณาข้อคำถาม แล้วนำผลการตรวจสอบมาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัดประเมิน ผลการศึกษา พบว่า 1) สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาพบว่า โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (x̅ = 3.75, S.D. = 1.07) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การรับผลประโยชน์อยู่ในระดับมาก (x̅ = 3.77, S.D. = 1.06) รองลงมาคือ การวางแผนอยู่ในระดับมาก (x̅ =3.75, S.D. = 1.07) รองลงมาคือการประเมินผลอยู่ในระดับมาก (x̅ = 3.74, S.D. = 1.05) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การตัดสินใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 3.72, S.D. = 1.07) และนักเรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้และกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตร แต่ต้องปรับปรุงความโปร่งใสในการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น 2) ปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้บริหาร อาจารย์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกในการส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า มีปัญหา 4 ด้าน คือ ด้านการวางแผน พบว่า ยังขาดการเผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญของมหาวิทยาลัย เช่น นโยบายและงบประมาณยังไม่ชัดเจน ควรมีวางแผนการใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์ที่หลากหลาย ด้านการตัดสินใจดำเนินการพบว่า กิจกรรมในหลักสูตรต้านการทุจริต นักศึกษาไม่เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตระหนักรู้ถึงผลเสียของการทุจริตน้อย มหาวิทยาลัยควรจัดกิจกรรมส่งเสริมสิทธิประชาชนในการเฝ้าระวังการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันมากขึ้น และด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์และการประเมินผล พบว่า ยังขาดการพัฒนาเนื้อหาที่ช่วยสร้างความรู้เกี่ยวกับการปกป้องตนเองและการรับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง รวมถึงการขาดกลไกในการฝึกทักษะป้องกันตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการต่อต้านการทุจริต มหาวิทยาลัยจึงควรมีมาตรการ ที่ชัดเจนและสร้างวัฒนธรรมในการไม่ยอมรับการทุจริต โดยส่งเสริมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาเดิมซ้ำ ๆ และไม่มองเรื่องการทุจริตเป็นเรื่องปกติไว้ในรายวิชาที่พัฒนาขึ้นจากหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 3) แนวทางพัฒนาและส่งเสริมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาแบบมีส่วนร่วม พบว่า มี 3 ประเด็น คือ การมีส่วนร่วมในด้านการบริหารจัดการหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า มหาวิทยาลัยควรเปิดโอกาสให้นักศึกษา ศิษย์เก่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยเข้ามามีบทบาทในการออกแบบหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักศึกษา การมีส่วนร่วมในด้านงบประมาณ พบว่า มหาวิทยาลัยควรจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมในหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้นักศึกษาได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงพร้อมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเยาวชนและตอบสนองความต้องการของชุมชนในการสร้างสังคมที่โปร่งใสและสร้างสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและการมีส่วนร่วมในด้านการบริหารงานทั่วไป พบว่า มหาวิทยาลัยควรเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจการจัดกิจกรรมต่าง ๆ โดยผู้บริหารและอาจารย์สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ความรู้และความสามารถได้ตามสิทธิ์ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย</p>สิริรัตน์ ชูรักษ์
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-172025-01-1719183125ความรู้ ความเข้าใจ และความคิดเห็นที่มีต่อการเข้ารับบริการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของผู้เข้าข่ายชำระภาษีในเขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3280
<p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการสำรวจผู้เข้าข่ายชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าข่ายชำระภาษีเกี่ยวกับการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง2) ระดับความคิดเห็นของผู้เข้าข่ายชำระภาษีเกี่ยวกับการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และ 3) ระดับความคิดเห็นของผู้เข้าข่ายชำระภาษีต่อการเข้ารับบริการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบและแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าข่ายชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 373 คน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาจำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับความรู้ความเข้าใจทั้งด้านสาระสำคัญของภาษี และด้านขั้นตอนการชำระภาษีอยู่ในระดับค่อนข้างดี 2) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการชำระภาษีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสะดวก ความประหยัด ความแน่นอน และความยุติธรรม อยู่ในระดับมากทุกด้าน และ 3) ระดับความคิดเห็นต่อการเข้ารับบริการชำระภาษีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ช่องทางการให้บริการ และขั้นตอนการให้บริการ อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ ทางเทศบาลควรจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความรู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาระบบการให้บริการที่ดีเพิ่มมากขึ้น</p>ศดานนท์ วัตตธรรม
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-202025-01-20191126151บทบาทกวางทองในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3521
<p>มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา องค์ประกอบ รูปแบบการแสดง บทบาทกวางทอง ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ การดำเนินการวิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย การรับการถ่ายทอดกระบวนท่ารำ การชมวีดิทัศน์การแสดง ผลการวิจัย พบว่า บทบาทกวางปรากฏในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามตามกวาง กล่าวถึงมารีศแปลงกายเป็นกวางทองตามอุบายของทศกัณฐ์เพื่อล่อลวงให้พระรามออกติดตามกวาง เป็นโอกาสให้ทศกัณฐ์ลักพานางสีดาไปยังกรุงลงกา มีองค์ประกอบการแสดงคือ บทที่ใช้ในการแสดง ผู้แสดงเป็นตัวพระมีรูปร่างเล็ก ปราดเปรียวเหมาะกับบท ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงประกอบการแสดง ประกอบด้วยเพลงร้องและเพลงหน้าพาทย์ แต่งกายยืนเครื่องตัวพระสวมศีรษะหน้ากวางทอง รูปแบบการแสดง เป็นลักษณะของการรำติดตามของตัวละครมนุษย์กับสัตว์ กระบวนท่ารำ ประกอบไปด้วย 1. ท่ารำหลักจากเพลงช้า และแม่บท 2. ท่ารำที่เป็นการตีบทตามคำร้อง 3. ท่าเลียนแบบธรรมชาติ สอดแทรกลีลารูปแบบตัวยักษ์ด้วยท่าลงวง ท่ายืดกระทบ ท่าเก็บเท้าและลีลาการใช้มือท่าจีบมือกวาง ท่าก้มตัว ท่าเลียขน</p>พิชญ์ ยอดเนรแก้วจินตนา สายทองคำ
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-282025-01-28191152179ประเด็นการพัฒนาสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3083
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบประเด็นการพัฒนาสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงอนาคต (EDFR: Ethnographic Delphi Futures Research) สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 19 คน เป็นผู้ที่กำหนดนโยบายด้านการศึกษา ผู้ที่ดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษา และผู้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลวิจัยพบว่า ประเด็นการพัฒนาสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ คือ 1) ด้านผู้เรียน 2) ด้านครูผู้สอน 3) ด้านผู้บริหารสถานศึกษา 4) ด้านการจัดการเรียนรู้ 5) ด้านกระบวนการบริหาร 6) ด้านแหล่งเรียนรู้ 7) ด้านระบบการศึกษาและ 8) ด้านการเสริมสร้างสุขภาวะทางกายและส่งเสริมศักยภาพด้านกีฬา</p>พิมล มาประกอบมัทนา วังถนอมศักดิ์
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-292025-01-29191180214ประเด็นท้าทายในการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ารสชาติ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/2981
<p>เครื่องหมายการค้ารสชาติเป็นหนึ่งในลักษณะของเครื่องหมายการค้ารูปแบบใหม่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ พบว่า ไม่มีประเทศใดสามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารสชาติดังกล่าวได้ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ารสชาติเพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ารสชาติอย่างเหมาะสม ผ่านวิธีการศึกษากฎหมายเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ารสชาติตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกากลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรป ประเทศอังกฤษ สาธารณรัฐอินเดีย และประเทศไทย ผลการวิจัยยังพบช่องว่างทางกฎหมายในการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารสชาติยังเกิดข้อจำกัดและอุปสรรคต่อการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารสชาติอันจะส่งผลต่อข้อจำกัดในการพัฒนาเครื่องหมายการค้ารูปแบบใหม่ประเภทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องศึกษาหลักเกณฑ์ในการให้ความคุ้มครองอย่างชัดเจนเพื่อกำหนดขอบเขตการให้ความคุ้มครอง โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ในการกำหนดคำนิยาม ลักษณะบ่งเฉพาะ การแสดงออกซึ่งหน้าที่ของเครื่องหมายการค้า รวมไปถึงการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการแสดงออกที่เป็นรูปธรรม ด้วยเหตุนี้ จึงเสนอให้มีการแก้ไขบทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และคู่มือพิจารณาคำขอรับจดทะเบียน ฉบับปี พ.ศ. 2565 เพื่อให้การให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ารสชาติและเครื่องหมายการค้ารูปแบบใหม่ประเภทอื่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ</p>คณิตพัฒน์ นาคะรัต
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-072025-02-07191215248ภาพและรูปทรงสัตว์บนเครื่องทองในสุสานไห่ฮุนโหวจากมุมมองประติมานวิทยา
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3276
<p>งานวิจัยเรื่อง ภาพและรูปทรงสัตว์บนเครื่องทองในสุสานไห่ฮุนโหวจากมุมมองประติมานวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์เทคนิคการผลิตภาพลวดลายและรูปทรงของรูปสัตว์บนเครื่องทองในสุสานไห่ฮุนโหว ตลอดจนวิเคราะห์ความหมายแฝงและความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังภาพสัตว์บนเครื่องทองในสุสานไห่ฮุนโหวจากมุมมองของประติมานวิทยาจากการศึกษาเอกสารการลงภาคสนาม การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ผลวิจัยพบว่า จากลักษณะและกรรมวิธีการผลิตของเครื่องทองสามารถแบ่งออกเป็นเครื่องทองดุนลาย-เดินลายเครื่องสำริดลายทอง และเครื่องสำริดชุบทอง ซึ่งสะท้อนความเป็นเลิศและภูมิปัญญาเชิงช่างของราชวงศ์ฮั่นได้อย่างดีเยี่ยม รูปแบบการตกแต่งส่วนใหญ่จะใช้ทองเป็นวัสดุหลักในการดัด ประกอบ เชื่อม หรือการฝังบนชิ้นงาน โดยเครื่องทองเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้สำหรับจักรพรรดิ อุปกรณ์ประดับตกแต่งสัตว์ที่เป็นพาหนะ และเป็นของพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร จากการวิเคราะห์ลักษณะรูปพรรณของสัตว์บนเครื่องทองจากมุมมองประติมานวิทยา พบว่าภาพและรูปทรงของสัตว์บนเครื่องทองเหล่านี้มาจากสัตว์ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติและสัตว์รูปแบบใหม่ที่สร้างตามตำนานและคติจนกลายเป็นสุนทรียภาพที่มีลักษณะเฉพาะของราชวงศ์ฮั่น นอกจากนี้เครื่องทองรูปสัตว์เหล่านี้ยังมีความหมายที่สื่อถึงเป็นมงคล สื่อถึงอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ และสื่อถึงปรัชญาและความเชื่อทางศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีของชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นอีกด้วย</p>Xin Leiศุภฤกษ์ คณิตวรานันท์ปิติวรรธน์ สมไทย
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-202025-02-20191249270A Phonetic Analysis of Japanese Names
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/2862
<p>This article has two main aims as follows: 1) to investigate the number of syllables or mora of Japanese male and female names and 2) to examine the relationship between genders and the sounds of the last syllables of Japanese names. This study used the data of the 100 most popular Japanese names given to males and females from the search results of a Japanese name ranking website in 2021. Then the data was phonetically analyzed to understand how the number of syllables or mora and phonetic characteristics of Japanese names’ last syllables were related to genders of the owners of the names. The study found a tendency that Japanese names given to males have more syllables or mora than the names given to females. Japanese names given to males with 3 syllables or mora accounted for 70%; while those with 2 syllables or mora made up only 27%. In contrast, Japanese names given to females with 3 syllables or mora accounted for 51%; while those given to females with 2 syllables or mora made up 49%. It was also found that Japanese names with 4 syllables or mora were given exclusively to males. Japanese male names ending with the consonant と[to] were the most prevalent, followed by those ending with the consonant た [tɑ]. For Japanese female names, the names ending with the consonants な [na] และり [ɾʲi] were most common, followed by those ending with consonants い[i] และ き [kʲi]. This study shows that last syllables of Japanese names have a correlation with genders. Therefore, it is argued that the genders of the owners of the names can be guessed from the last syllabic pronunciation of the names. This is in line with the hypothesis that the last syllables of Japanese names have a relation with genders.</p>Phornthip Nithithanawiwat
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-102025-03-10191271295Development of Problem-Based Learning Instructional Model to Enhance Critical Thinking Ability of Undergraduate Students
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/4205
<p>This study aims to (1) examine the factors influencing the critical thinking abilities of undergraduate student, (2) develop a problem-based learning (PBL) instructional model to enhance these abilities, and (3) assess the effectiveness of the PBL model in improving students’ critical thinking. The research was conducted in three phases to address the stated objectives. In Phase 1, the study involved 150 undergraduate students enrolled in the College Students’ Career Guidance course during the second semester of the 2023 academic year, as well as three lecturers from Guangxi University of Finance and Economics, Baise University, and Guangxi Minzu University. Phase 2 focused on the validation of the PBL instructional model, with input from three experts who confirmed its compliance with utility, feasibility, propriety, and accuracy standards. In Phase 3, a sample of 50 students enrolled in the same course during the first semester of the 2024 academic year participated in the intervention. The data collection instruments included (1) a student questionnaire and lecturer interviews, (2) a conformity assessment form for validating the instructional model, (3) lesson plans designed using the PBL framework, and (4) a scoring rubric to evaluate critical thinking abilities. Data were analyzed using descriptive statistics, including percentages, means, and standard deviations. The results of the study are as follows: 1. The study identified both internal and external factors that affect the critical thinking abilities of undergraduate students. Internal factors included psychological or physiological conditions, attitudes, and cognitive skills or knowledge. External factors encompassed teaching methods, instructional materials, and the learning environment. 2. The problem-based learning instructional model developed to enhance critical thinking was assessed and confirmed by three experts as fully compliant with utility, feasibility, propriety, and accuracy standards. The model comprises five components: (1) Principles and rationale, based on the course content and the results from objective 1 of the research; (2) Objectives, derived from the second research objective; (3) Content, aligned with the course structure; (4) Teaching methods and materials, designed according to the PBL framework; and (5) Evaluation, using a scoring rubric to assess students’ critical thinking skills. 3. Following the intervention, the results indicated that 18% of the 50 students demonstrated excellent critical thinking skills, 74% achieved a good level, and 8% reached a moderate level. These findings support the research hypothesis, which posited that over 80% of participants would exhibit critical thinking abilities at a good level after being taught through the PBL model.</p>Chen QifengAreewan Iamsa-ard
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-102025-03-10191296325Development of Project-Based Learning Instructional Model to Enhance Undergraduate Students’ Creativity Ability
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3993
<p>The present study had 3 primary objectives: 1) examine the factors affecting for undergraduate students’ creativity ability, 2) confirm the appropriateness of developed project-based learning instructional model to enhance undergraduate students’ creativity ability, and 3) study the results of implementing project-based learning model to enhance undergraduate students’ creativity ability. The research methodology was structured into three distinct phases: Phase I: studying the internal and external factors affecting students’ creativity ability gathering data through questionnaires administered to 150 undergraduate students and interviews conducted with 3 lecturers from Guangxi Normal University; Phase II: developing project-based instructional model for enhancing creativity ability based on instructional model development theory and the findings from Phase I, plus rigorous evaluation against four standards: utility, feasibility, propriety, and accuracy by 5 experts using an instructional model evaluation form; and Phase III: investigating the effectiveness of the developed instructional model – putting it into practice through lesson plans for experimentation. Data collection encompassed rubric scoring-based assessment of students’ project work. Statistical analysis techniques such as frequency, percentage calculations, means, standard deviations, interpretation, and content analysis were employed to analyze the collected data. The findings of this study can be summarized as follows: 1) The internal factors affecting for undergraduate students’ creativity ability were physical and psychological including students’ willingness to engage in learning activities and student’s self-confidence, motivation and external factors were social environment, materials, teaching methods and class size. 2) Project-based learning instructional model to enhance undergraduate students’ creativity ability consisted of 5 components i.e., principle and rationale, learning objectives, contents, methods of teaching and materials, and evaluation. After programme evaluation (utility, feasibility, propriety, and accuracy), such a model was 100% confirmed by 5 experts for further Implementation. 3) The result of implementing project-based learning instructional model found that, students’ creativity ability will be overall improved 80% at Good level by research hypotheses.</p>Su YeAreewan Iamsa-ard
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-112025-03-11191326358The Effectiveness of Collaborative Mobile-Assisted English Learning (C-MAEL) for Enhancing Academic English Reading Comprehension of University Students at Guangxi University of Science and Technology
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhusocbru/article/view/3994
<p>The present study had 3 primary objectives: 1) examine the factors affecting academic English reading comprehension of university students in Guangxi Province, 2) confirm the appropriateness of Collaborative Mobile-Assisted English Learning (C-MAEL) model to enhance English learning achievements of university students at Guangxi University of Science and Technology, and 3) study the effectiveness of Collaborative Mobile-Assisted English Learning (C-MAEL) for enhancing academic English reading comprehension of university students at Guangxi University of Science and Technology. The research methodology was structured into three distinct phases: Phase I: studying the internal and external factors affecting students’ academic English reading comprehension gathering data through questionnaires administered to 275 undergraduate students and interviews conducted with 7 lecturers from 3 universities in Guangxi Province; Phase II: developing Collaborative Mobile-Assisted English Learning (C-MAEL) instructional model for enhancing academic English reading comprehension based on instructional model development theory and the findings from Phase I, plus rigorous evaluation against four standards: utility, feasibility, propriety, and accuracy by 5 experts using an instructional model evaluation form; and Phase III: investigating the effectiveness of the developed instructional model – putting it into practice through lesson plans for experimentation. Data collection encompassed pretest and posttest from 39 Guangxi University of Science and Technology in semester 2 academic year 2023. Statistical analysis techniques such as frequency, percentage calculations, means, standard deviations, interpretation, and content analysis were employed to analyze the collected data. The findings of this study can be summarized as follows: 1) The internal factors affecting for undergraduate students’ academic English reading comprehension were learning engagement, motivation, needs, satisfaction, attitude, and autonomous learning while external factors were teaching model, teaching activities, learning environment, learning tasks, relationship between teacher and students, and materials and resource. 2) C-MAEL learning instructional model to enhance undergraduate students’ academic English reading comprehension consisted of 5 components i.e., principle and rationale, learning objectives, contents, methods of teaching and materials, and evaluation. After programme evaluation (utility, feasibility, propriety, and accuracy), such a model was 100% confirmed by 5 experts for further Implementation. 3) Based on the testing results, the mean posttest scores (M = 86.96, SD = 7.48) were significantly higher than the mean pretest scores (M = 66.54, SD = 10.31). The paired-sample <em>t</em>-test conducted on the single sample group yielded a <em>t</em>-value of -15.91 and a <em>p</em>-value of .00, indicating that the differences between the pretest and posttest scores were statistically significant at the 0.05 level (*<em>p</em> < .05).</p>Wu LingAreewan Iamsa-ard
Copyright (c) 2024 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-122025-03-12191359389