https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/issue/feed
วารสารร่มยูงทอง
2025-08-31T18:06:47+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐชา หน่อทอง (บรรณาธิการ)
nathnorthn@gmail.com
Open Journal Systems
<p> </p> <p><strong>วารสารร่มยูงทอง</strong></p> <p><strong>Rom Yoong Thong Journal</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> 2985-0193 (Online)</p> <p><strong>กำหนดระยะเวลาการเผยแพร่ จำนวน 3 ฉบับต่อปี</strong></p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน (เผยแพร่ เดือนพฤษภาคม)<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม (เผยแพร่ เดือนกันยายน)<br />ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม (เผยแพร่ เดือนมกราคม)</p> <p> </p> <p> </p>
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5380
คุณสมบัติของผู้ทรงอิทธิพลระดับจุลภาคที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อของใช้ และของตกแต่งบ้านของลูกค้าบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์
2025-07-20T10:22:30+07:00
อนพัทย์ พัฒนวงศ์วรัณ
anapat.p@pnru.ac.th
ณกมล จันทร์สม
nakamol.c@rsu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความตั้งใจซื้อ และ 2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อของใช้และของตกแต่งบ้านของลูกค้าบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์จากผู้ที่เคยซื้อของใช้และของตกแต่งบ้านบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ จำนวน 378 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และโมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านคุณสมบัติของผู้ทรงอิทธิพลระดับจุลภาค 2) ด้านทัศนคติที่มีต่อผู้ทรงอิทธิพลระดับจุลภาค 3) ด้านทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ และ 4) ด้านความตั้งใจซื้อ สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี โดยพิจารณาจากค่า Chi-square/df = 1.133, CFI = 0.994, GFI = 0.960, IFI = 0.994, TLI= 0.993, AGFI = 0.947, RMR = 0.048, RMSEA = 0.018, SRMR = 0.036 และค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ = 0.69 แสดงว่าตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความตั้งใจซื้อของใช้และของตกแต่งบ้านของลูกค้าบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ได้ร้อยละ 69 พบว่า ด้านคุณสมบัติของผู้ทรงอิทธิพลระดับจุลภาค ด้านทัศนคติที่มีต่อผู้ทรงอิทธิพลระดับจุลภาค และด้านทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ มีอิทธิพลทางตรงต่อความตั้งใจซื้อของผู้บริโภคตามลำดับ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5023
การสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ของประชากรในเขตอำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
2025-07-20T10:08:57+07:00
กรณิศ เปี้ยอุดร
korranid@hotmail.com
ปรีดา ตัญจนะ
korranid@hotmail.com
<p>จังหวัดลำปางมีอัตราการป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมในปริมาณสูง ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงพบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่สอดคล้องตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน</p> <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และ (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตเดียวกัน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์ไคสแควร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังพบว่าปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเชิงปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการและนักการตลาดในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง อันจะช่วยยกระดับสุขภาพประชาชนและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพื้นที่ได้</p> <p>จังหวัดลำปางมีอัตราการป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมในปริมาณสูง ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงพบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่สอดคล้องตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน</p> <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และ (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของประชากรในเขตเดียวกัน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์ไคสแควร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังพบว่าปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเชิงปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการและนักการตลาดในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง อันจะช่วยยกระดับสุขภาพประชาชนและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพื้นที่ได้</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5399
องค์ประกอบการสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจประเภทเครื่องสำอางผ่าน สื่อสังคมออนไลน์
2025-07-20T12:50:05+07:00
อินท์ชลิตา เศรษฐ์พุฒิบวร
theeraweewar@gmail.com
ธีรวีร์ วราธรไพบูลย์
theeraweewar@gmail.com
กิติชัย ศรีสุขนาม
incharitrased@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสำรวจระดับการรับรู้ของผู้บริโภคต่อองค์ประกอบการสร้างภาพลักษณ์ธุรกิจเครื่องสำอาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Product) การบริการ (Service) พฤติกรรมพนักงาน (Employee) และการสื่อสารการตลาด (Communication) (2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบดังกล่าวกับภาพลักษณ์แบรนด์โดยรวม และ (3) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริโภคออนไลน์ 320 คนที่เคยซื้อเครื่องสำอางผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเกิน 1 ครั้ง ใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามมาตรฐาน 4 มิติ (รวม 16 ตัวชี้วัด) ตรวจสอบความเที่ยงตรงด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmation factorial Analysis: CFA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการรับรู้เป็นเชิงบวกทุกมิติค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4.01–4.23 มิติผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักองค์ประกอบสูงสุด คือบรรจุภัณฑ์สะท้อนตัวตนแบรนด์เท่ากับ 0.822 ซึ่งยืนยันว่าคุณภาพสินค้าและแพ็กเกจจิ้งส่งผลต่อภาพลักษณ์อย่างมีนัยสำคัญ มิติการบริการที่มีความสะดวกในการติดต่อสอบถามน้ำหนักองค์ประกอบสูงสุด เท่ากับ 0.803 มิติพนักงานพบว่าการรับมือสถานการณ์เร่งด่วนมีอิทธิพลน้ำหนักองค์ประกอบ = 0.734 และมิติการสื่อสารการโฆษณาตรงกับคุณภาพจริงน้ำหนักองค์ประกอบ = 0.739 มีความสำคัญสูงสุด ซึ่งผลการศึกษาชี้แนะว่าผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า การบริการตอบสนองไว การพัฒนาทักษะพนักงาน และการสื่อสารตรงกับความจริงเพื่อสร้างและคงภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดออนไลน์</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5457
การบูรณาการการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในต่อการดำเนินงานด้าน ESG ของกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเพื่อการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสร้างผลตอบแทนมูลค่าหุ้นอย่างยั่งยืน
2025-07-20T15:22:11+07:00
สุพัตรา ปรางบาง
supattra281979@gmail.com
ประเทือง นรินทรางกูล ณ อยุธยา
prandonk@gmail.com
คิราณัฎฐ์ ติวงษา พาลอส
pensiri.spu2@gmail.com
กนกศักดิ์ สุขวัฒนาสินิทธิ์
supattra281979@gmail.com
<p>อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อมโยงโดยตรงต่อภาพลักษณ์ ความสามารถในการแข่งขัน และมูลค่าหุ้นขององค์กร การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตของกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยใช้ข้อมูลจากรายงานการดำเนินงาน ESG และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากรายงาน ESG ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร จำนวน 14 บริษัท ครอบคลุมช่วงปี 2561–2565 พร้อมทั้งประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ดำเนินการโดยใช้แบบจำลองเชิงสถิติที่เหมาะสมเพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบแนวคิดการวิจัย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การบูรณาการกรอบ COSO–ERM และการประยุกต์ใช้ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม องค์กรที่มีการดำเนินงาน ESG ที่มีประสิทธิภาพยังสามารถสร้างความโปร่งใสด้านธรรมาภิบาล และมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนมูลค่าหุ้นในระยะยาวได้ดีกว่า ข้อเสนอแนะจากการวิจัยคือ องค์กรควรกำหนดมาตรฐานการรายงาน ESG ที่สอดคล้องกับกรอบ COSO–ERM และนำเทคโนโลยี AI มาใช้ติดตามความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และสร้างความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5551
การพัฒนานวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ: แบบจำลองเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในจังหวัดลำปาง
2025-07-24T11:49:44+07:00
กนกวรรณ อู่ทองทรัพย์
ckanokwa@tu.ac.th
บุญฑวรรณ วิงวอน
ckanokwa@tu.ac.th
รัชภูมิ ปัญส่งเสริม
ckanokwa@tu.ac.th
วงศธร ชุณหะวัณ
ckanokwa@tu.ac.th
จีรพัฒน์ พรประดิษฐ์
ckanokwa@tu.ac.th
คัจฉนันท์ เลิศพงษ์ศิลป์
ckanokwa@tu.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการด้านการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของเครือข่ายสถานศึกษาในจังหวัดลำปาง 2) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของผู้เรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ 3) เพื่อเสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการและความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจของผู้เรียนผ่านการลงมือทำจริง 4) เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรท้องถิ่นที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเครือข่ายสถานศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักวิจัย ผู้บริหารของเครือข่ายสถานศึกษา ครู และนักศึกษา จำนวน 4 สถานศึกษา คือ 1) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2) วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง 3) โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา และ 4) โรงเรียนแม่เมาะวิทยา จำนวน 30 คน ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา กำหนดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การฝึกอบรม การทดลองทำผลิตภัณฑ์ ทดลองขายและจัดทำแผนการตลาด นอกจากนี้ มีการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 75 คน ด้วยการใช้สถิติพรรณนาเพื่อหาค่าร้อยละและสังเกตพฤติกรรมหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น</p> <p> ผลวิจัยพบว่าปัญหาสำคัญของสถานศึกษา คือ การขาดความรู้พื้นฐานทางธุรกิจ การวางแผนต้นทุน การตลาดดิจิทัลและการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ รวมถึงขาดทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงได้ดำเนินกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ผ่านกระบวนการปฏิบัติจริง เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรท้องถิ่น การจัดทำแผนธุรกิจ และการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (Shopee) โดยเน้นบทบาทของครูในฐานะโค้ชหรือพี่เลี้ยงที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติจริง ส่งผลให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น โบว์ผ้าย้อมครั่ง เครื่องประดับเรซิ่นจากเศษข้าวแต๋น ถุงหอมผ่อนคลาย และผงเครื่องเทศมะแขว่น ซึ่งผลิตจากของเหลือใช้หรือวัตถุดิบท้องถิ่น สะท้อนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และการใช้ทุนเดิมของชุมชนอย่างมีคุณค่า ผลการดำเนินงานของเครือข่ายสถานศึกษาชี้ให้เห็นถึงการเชื่อมโยงความรู้จากภายนอก อาทิ ชุมชนและเครือข่ายพันธมิตร และยังช่วยเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงออกแบบและความมั่นใจในการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษาและนักเรียนอย่างเป็นรูปธรรม การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงทฤษฎีสู่ปฏิบัติจริง โดยใช้ทรัพยากรจากท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดนวัตกรรมและการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มีศักยภาพสูงในการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5422
ศักยภาพการตลาดและรูปแบบการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพืชสมุนไพร ระดับชุมชนในจังหวัดจันทบุรี
2025-07-20T15:09:26+07:00
พรรณิภา อนุรักษากรกุล
pannipha@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการใช้ประโยชน์ของพืชสมุนไพรระดับชุมชนในจังหวัดจันทบุรี 2) วิเคราะห์ศักยภาพของตลาดพืชสมุนไพรระดับชุมชนในจังหวัดจันทบุรี และ 3) วิเคราะห์การตลาดของผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรระดับชุมชนในจังหวัดจันทบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และคณะกรรมการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวม 24 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติเชิงพรรณนา, SWOT Analysis, TOWS Matrix และประยุกต์แนวคิดห่วงโซ่คุณค่า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดจันทบุรีมีพืชสมุนไพรทั้งหมด 160 ชนิด โดยร้อยละ 59.37 ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ส่วนที่เหลือใช้เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนและการจำหน่าย ตลาดพืชสมุนไพรมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จุดแข็งของชุมชนคือความหลากหลายของพืชสมุนไพรและความเข้มแข็งของการรวมกลุ่ม ขณะที่อุปสรรคสำคัญคือผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรส่วนใหญ่ขาดมาตรฐาน และการสนับสนุนต่อเนื่องจากภาครัฐ การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าแสดงให้เห็นว่าการผลิตและการตลาดของผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังมีโอกาสในการเพิ่มมูลค่า และสร้างรายได้ให้ชุมชน หากได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการสมุนไพรระดับชุมชน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการเชื่อมโยงกับนโยบายภาครัฐ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5383
การสื่อสารการเกษตรภายใต้มิติการหลอมรวมสื่อ
2025-07-20T12:16:18+07:00
ปฏิภาณ กิตตินันทวัฒน์
patipan.k@rbru.ac.th
สุภาภรณ์ ศรีดี
patipan.k@rbru.ac.th
หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล
patipan.k@rbru.ac.th
<p>บทความวิชาการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสารการเกษตรภายใต้มิติการหลอมรวมสื่อ บทความชี้ให้เห็นถึงการสื่อสารการเกษตรทั้งด้านกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสร้างความเข้าใจร่วมกัน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิต นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริโภค ผู้ถ่ายทอดข้อมูลความรู้เทคโนโลยี และนโยบายทางการเกษตรจากแหล่งต่าง ๆ ไปสู่เกษตรกรหรือจากเกษตรกรไปสู่ผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ทัศนคติ และการปฏิบัติอย่างยั่งยืน ปัจจุบันการสื่อสารภายใต้มิติการหลอมรวมสื่อการบูรณาการระหว่างสื่อดั้งเดิมกับสื่อใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเป็นทั้งผู้รับสารและผู้ผลิตสาร สร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ การสื่อสารภายใต้มิติการหลอมรวมสื่อจึงเน้นการนำเสนอด้วยเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย ใช้ภาพประกอบและเทคนิคมัลติมีเดีย เพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจและสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับอาชีพเกษตรกรรม ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการสื่อสาร ได้แก่ ความน่าเชื่อถือของผู้ส่งสาร ความเข้าใจของผู้รับสาร เนื้อหาที่สอดคล้องกับบริบท ช่องทางที่เข้าถึงง่าย และค่านิยมของชุมชน สำหรับแนวทางการพัฒนาการสื่อสารการเกษตรภายใต้มิติการหลอมรวมสื่อนั้นควรการส่งเสริมบทบาทของผู้นำชุมชน พัฒนาสื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนสถานศึกษาและองค์กรท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร และส่งเสริมงานวิจัยด้านนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมไทยสู่ความยั่งยืน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5438
การวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนไทยกับแนวคิดสัญวิทยา
2025-07-20T15:16:58+07:00
วรางคณา นิยมฤทธิ์
pannathat@gmail.com
ปัณณทัต โรจนมนต์
varangkana.n@siu.ac.th
<p>บทความวิชาการฉบับนี้กล่าวถึงการวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนไทยโดยใช้แนวคิดสัญวิทยาที่ปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย ได้แก่ ศิลปะและวัฒนธรรมไทย พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับศาสนาที่มีผลต่อการตัดสินในชีวิตประจำวัน เช่น การหาฤกษ์ยาม การทำบุญเสริมดวง การสวดมนต์ข้ามปี การบูชาพระประจำวันเกิด เป็นต้น โหราศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงศาสตร์การพยากรณ์เท่านั้นแต่เป็น "ระบบสื่อความหมายที่อิงกับวัฒนธรรม" (Cultural sign system) ดังนั้น การเข้าใจโหราศาสตร์ผ่านสัญญะศาสตร์ จะช่วยทำให้เข้าใจว่า ดวงดาว ราศี และเรือนภพ นั้นคือ “ภาษา” ของความเชื่อ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างทางสังคม อัตลักษณ์ และอุดมการณ์ในแต่ละยุคสมัย โหราศาสตร์ไทย (Thai Astrology) ถือเป็นศาสตร์ที่ใช้พยากรณ์อนาคตโดยอาศัยสถิติและการโคจรของดาวบนท้องฟ้า ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบของ สัญญะ (Semiotic system) อันสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจักรวาลผ่านการสื่อความหมายของดวงดาว เวลา และเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยอธิบายผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้แก่ ราศี ดาวเคราะห์ ธาตุ และเรือนชะตา นอกจากนี้ โหราศาสตร์ไทยยังมีอิทธิพลและบทบาทในงานศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทั้งภาพวาด และงานแกะสลักที่แสดงถึงดวงดาวและจักรราศี รวมถึงการใช้สัญลักษณ์ทางโหราศาสตร์ในเรื่องเล่าต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าโหราศาสตร์ไทยได้รับการยอมรับในสังคมไทย ทั้งในแง่ของชีวิตประจำวัน ด้านการเมืองและสังคม โหราศาสตร์ไทยเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยอย่างลึกซึ้ง และยังคงมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องแม้สังคมจะมีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นสังคมแบบดิจิทัลแล้วก็ตาม</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/5397
Buddhist Environmentalism and Circular Innovation: A Community Based Model for SDG Localization in Thailand
2025-07-20T12:41:00+07:00
Ronnaphop Nopsuwan
choke.imc@gmail.com
<p>This study explored the integration of circular economy (CE) principles with local cultural and spiritual systems through an embedded case study of Wat Chak Daeng Temple and the Bang Nam Phueng Floating Market in Thailand. Situated within the broader Sustainable Development Goals (SDGs) framework, particularly Goals 11, 12, and 13, the research introduced the Culturally Embedded Circular Innovation (CECI) framework to examine how Buddhist environmentalism, grassroots innovation, and cross-sector collaboration enabled community-led sustainability transitions. Using qualitative methods including in-depth interviews, participant observation, document analysis, and international participant reflections, the study identified key themes related to spiritual legitimacy, community co-creation, and behavioral transformation. The findings affirmed that sustainability was most effective when it was culturally resonant, morally grounded, and socially inclusive. Temples emerged as both ethical anchors and innovation platforms, facilitating behavior change through spiritual narratives and community trust. The research contributed to academic discourse by offering a transferable framework for culturally adaptive CE practices and demonstrated potential for international knowledge exchange, particularly in Global South contexts. The study concluded that localized and spiritually grounded approaches offered a promising pathway for translating global sustainability targets into meaningful grassroots action.RetryClaude can make mistakes. Please double-check responses.</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี