วารสารร่มยูงทอง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong <p><strong><img src="https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/9a/Banner_Big.jpg" /></strong></p> <p> </p> <p><strong>วารสารร่มยูงทอง</strong></p> <p><strong>Rom Yoong Thong Journal</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> 2985-0193 (Online)</p> <p><strong>กำหนดระยะเวลาการเผยแพร่ จำนวน 3 ฉบับต่อปี</strong><br />ฉบับที่ 1 เปิดรับบทความเดือนมกราคม - เมษายน (เผยแพร่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป)<br />ฉบับที่ 2 เปิดรับบทความเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม (เผยแพร่เดือนกันยายน เป็นต้นไป)<br />ฉบับที่ 3 เปิดรับบทความเดือนกันยายน - ธันวาคม (เผยแพร่เดือนมกราคม เป็นต้นไป) </p> <p><img src="https://so08.tci-thaijo.org/public/site/images/romyoongthong/poster-pr-new.jpg" alt="" width="1783" height="1426" /></p> คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี th-TH วารสารร่มยูงทอง 2985-0193 ปัจจัยการติดต่อสื่อสารในองค์การที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/3079 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง และ 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการติดต่อสื่อสาร<br />ในองค์การที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง กลุ่มตัวอย่าง<br />ที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง จำนวน 118 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test ค่าสถิติ F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า บุคลากรสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปางที่สังกัดส่วนงานแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปางแตกต่างกัน และปัจจัยการติดต่อสื่อสารในองค์การ<br />ด้านผู้รับสารและด้านการให้ข้อมูลย้อนกลับส่งผลต่อกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง</p> ผจงจิต ติ๊บประสอน จารุจรรย์ พรมจันทร์ กาญจนา ปิงเมือง พิมพ์กานต์ วงค์วารใจ ธัญญรัตน์ ใจน้อย Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 1 15 การพัฒนาสื่อโมชันกราฟิกเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากควันบุหรี่ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/2986 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อโมชันกราฟิกเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากควันบุหรี่ และ 2) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิกเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากควันบุหรี่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อโมชันกราฟิกเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากควันบุหรี่ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อสื่อ กลุ่มตัวอย่างคือ วัยรุ่นจังหวัดมหาสารคาม อายุ 19-24 ปี จำนวน 138 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ได้สื่อที่มีความยาวประมาณ 4.35 นาที และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้สื่อโมชันกราฟิก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.23)</p> ศิริวรรณ แก้วกิ่ง นภัสกร กรวยสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 16 29 การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เชียงรายด้วยเกม 2 มิติ https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/2816 <p> งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและรวบรวมสื่อประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงราย 2) ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์การให้ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดเชียงรายด้วยเกม 2 มิติ 3) วัดประสิทธิภาพการให้ความรู้จากสื่อประชาสัมพันธ์ที่ผลิตขึ้น และ 4) ประเมินความพึงพอใจจากสื่อประชาสัมพันธ์ที่ผลิตขึ้น มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักท่องเที่ยวจำนวน 50 คน โดยเริ่มจากการศึกษาและรวบรวมสื่อประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงราย และผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ หลังจากนั้นทำการประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว พบว่าความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์มาก และหลังจากทำการวัดประสิทธิภาพการให้ความรู้จากสื่อ พบว่าผลการทดสอบคะแนนของหลังเรียนนั้นสูงกว่า ก่อนเรียน ทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าเกม 2 มิติที่ใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในจังหวัดเชียงรายส่งผลต่อความรู้ความและเข้าใจของนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ</p> วสันต์ ดอนแก้ว ดุลยฤทธิ์ วงค์ชัย เศรษฐชัย ใจฮึก Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 30 44 สร้างแบรนด์จากเรื่องเล่า: การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสื่อสารตราสินค้าสบู่สมุนไพรน้อยหน่า ของกลุ่มสตรีบ้านนั่งเย็น ตำบลทะเลชุบศร จังหวัดลพบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/3006 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดสบู่สมุนไพรโอทอป และ 2) พัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสบู่สมุนไพรผสมสารสกัดจากใบน้อยหน่าพันธุ์พระที่นั่งเย็นแบรนด์ “บ้านนั่งเย็น” ผลิตโดยกลุ่มสตรีพระที่นั่งเย็น ตำบลทะเลชุบศร จังหวัดลพบุรี เป็นความร่วมมือระหว่างชุมชน สถาบันการศึกษา องค์กรอิสระและหน่วยงานท้องถิ่น นำแนวคิดการเล่าเรื่องเพื่อสื่อสารตราสินค้า การสื่อสารสัญลักษณ์ ภาษาศาสตร์สังคมปฏิสัมพันธ์และการเล่าเรื่องมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ใช้สัญญะประเภทต่างๆ ได้แก่ รูปภาพ สี โลโก้ เส้น ข้อความ วัสดุ รูปทรง ขนาด และรูปแบบตัวอักษร สร้างความหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการประเมินคุณภาพบรรจุภัณฑ์โดยผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> การศึกษาพบว่า 1) การแบ่งส่วนทางการตลาดให้สบู่น้อยหน่าพระที่นั่งเย็นเป็นสบู่ประเภทสมุนไพรแก้ปัญหาผิว ขนาด 100 กรัม ราคาขายก้อนละ 50 บาท และ 2) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์สื่อสารบุคลิกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ผ่านสัญญะ ได้แก่ ชื่อแบรนด์ “บ้านนั่งเย็น” สโลแกน “สูตรออเจ้าเมืองละโว้” พื้นผิวของบรรจุภัณฑ์โทนสีน้ำตาล รูปภาพผลน้อยหน่า แบบอักษรไทย ลายเส้นเถาวัลย์ และการแสดงประวัติน้อยหน่าพระที่นั่งเย็น รวมทั้งข้อมูลสรรพคุณน้อยหน่าตามภูมิปัญญาไทย โดยเชื่อมโยงกับประวัติน้อยหน่าพระที่นั่งเย็นที่เชื่อว่าเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์กว่า 300 กว่าปี ชาวชุมชนทะเลชุบศรปลูกตามบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บริเวณพระที่นั่งเย็นมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนการประเมินคุณภาพบรรจุภัณฑ์ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> บุญญเลขา มากบุญ Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 45 63 แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังสถานการณ์โควิด – 19 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/3031 <p>บทความเรื่อง “แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังสถานการณ์โควิด – 19” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรีหลังสถานการณ์โควิด – 19 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังสถานการณ์โควิด – 19 จำนวน 400 คน เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวกหรือบังเอิญ (Convenient or accidental Sampling) ใช้วิธีการคัดเลือกแบบไม่คำนึงถึงความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) เนื่องจากผู้วิจัยไม่ทราบจำนวนประชากร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิเคราะห์พบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามที่เดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังสถานการณ์โควิด – 19 ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุตั้งแต่ 21 – 30 ปี มีสถานภาพโสด กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษา และมีรายได้ต่ำกว่าหรือเทียบเท่า 10,000 บาท และ 2) แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังสถานการณ์ โควิด – 19 มีแรงจูงใจอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยมีแรงจูงใจดึงดูดในการเดินทางมาท่องเที่ยวสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อชื่นชมสวนดอกไม้นานาชนิดและความสมบูรณ์ทางธรรมชาติของแหล่งท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวชาวไทยมีแรงจูงใจผลักดันในการเดินทางมาท่องเที่ยวไปยังในสถานที่ที่ตนเองยังไม่เคยไป</p> วราภรณ์ พรมบัว วิมลสิริ ปิติวรวงศ์ ธนพิสิษฐ์ เมธีอัษฎาวุฒิ วริศรา ทิพย์โสตร์ วริศรา บุญธรรม เชิญขวัญ ขำเปรม Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 64 77 แนวทางการสร้างเครือข่ายเพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/2953 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ สภาพปัญหาของเด็กและเยาวชน และนำเสนอแนวทางการสร้างเครือข่ายเพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ผลการวิเคราะห์ พบว่า สถานการณ์และสภาพปัญหาของเด็กและเยาวชน มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ธุรกิจมีแนวโน้มปรับกระบวนการทำงาน โดยลดการพึ่งพาการใช้คน และลงทุนในเทคโนโลยี/ดิจิทัลมากขึ้นและความแตกต่างของช่วงวัย การสร้างเครือข่ายจึงเป็นแนวทางที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะหนึ่งปัญหาของเด็กและเยาวชนไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จโดยหน่วยงานเดียว โดยแนวทางการสร้างเครือข่ายเพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย 1) พัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) สร้างเครือข่าย 3) ดำเนินการ และประเมินผลเครือข่าย โดยกลไกการทำงานเครือข่ายที่เกิดขึ้นควรมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่มีรูปแบบการดำเนินการทั้งในเชิงนโยบายและการนำไปปฏิบัติ รวมถึงมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และหน่วยงานที่ไม่เป็นทางการเข้าร่วมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน</p> นิภาพรรณ เจนสันติกุล ไชยณัฐ ดำดี Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 78 92 Generation Alpha Development Policy and Strategy in the Digital Era: A Thai Perspective https://so08.tci-thaijo.org/index.php/romyoongthong/article/view/2729 <p>While Generation Alpha (the cohort born after 2010) is currently the youngest population cohort, it has a brand influence and purchasing power beyond its years and has also been shaping the social media landscape through popular culture influencers and emerging consumers. It is critical to understand the characteristics of Generation Alpha, because they represent the future and provide a lens through which to view the next decade and beyond. This study sought to explain the development policy and strategy for Generation Alpha in the digital era using a qualitative approach. Purposive sampling was used to conduct in-depth interviews with 11 key informants who were academics, educators, experts, and workers in the development fields for Generation Alpha in Thailand. Content analysis was utilized to analyze the data. The findings revealed that the digital era has significantly changed how children learn, play, and interact with the world around them. The development policy and strategy for Generation Alpha in the digital era should be designed to support the healthy development of positive outcomes for young children, while also addressing the unique opportunities and challenges presented by digital technologies.</p> Pongsakorn Tanpat Kraiwanit Arnon Kasrisom Kris Jangjarat Saranchana Asanprakit Yarnaphat Shaengchart Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 93 106