https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/issue/feed
วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2025-07-01T00:23:10+07:00
Anong Kanjanaprapakul
cusocscij@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย </strong><strong>(Chulalongkorn University Journal of Social Science: CUJSS.) </strong>เป็นวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดประเภทบทความที่จะพิจารณาตีพิมพ์เป็น 3 ประเภท ดังนี้ <em>(1) บทความวิจัย (</em><em>Research article) (2) บทความวิชาการ (Academic article) และ (3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book review)</em> ทั้งนี้ บทความที่ส่งมาตีพิมพ์กับวารสารฯ<strong><em>ต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน</em></strong> ออกเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (เดือนมิถุนายน และ เดือนธันวาคม) โดยทุกบทความจะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ<strong><em>ไม่น้อยกว่า </em></strong><strong><em>3 คน</em></strong> ตามกระบวนการที่กองบรรณาธิการกำหนด</p> <p><strong><u>การประเมินบทความ</u></strong></p> <p>บทความวิจัยจะได้รับการประเมินแบบ double-blinded peer-reviewed process จากผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่า 3 คนผ่านระบบ ThaiJo2.0</p> <p>Each research article is double-blinded peer-reviewed by at least three expert reviewers and submission is online via ThaiJo2.0</p>
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/5445
บทบรรณาธิการ
2025-07-01T00:23:10+07:00
ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์
cusocscij@gmail.com
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3105
การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและความต้องการในวาระท้ายของผู้ต้องขังสูงวัยในเรือนจำ
2025-06-30T21:58:58+07:00
ปริญญา หวันเหล็ม
pwanlem@gmail.com
ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์
pwanlem@gmail.com
<p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะของบริการด้านสุขภาพ และการเข้าถึงของระบบราชทัณฑ์ไทยในการดูแลแบบประคับประคองและการดูแลในวาระท้าย โดยอาศัยแนวคิดสิทธิมนุษยชน สิทธิผู้ต้องขัง แนวคิดการดูแลแบบประคับประคอง และกรอบข้อบังคับระดับสากลและข้อกฎหมายระดับประเทศ ทั้งนี้ ยังมุ่งศึกษาแนวทางการให้บริการด้านสุขภาพในมิติของการดูแลในระยะท้าย ความต้องการของผู้ต้องขังสูงวัยในเรือนจำ และรูปแบบการจัดการกับการตายในเรือนจำ ผ่านกลไกของราชทัณฑ์ไทยที่มีทีมสหวิชาชีพต่าง ๆ เข้ามาให้บริการผู้ต้องขังในระยะท้าย การศึกษาครั้งนี้อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพ และมีข้อค้นพบประการสำคัญว่า สภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังป่วยต้องเผชิญความยากลำบากในเรือนจำ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยได้ง่าย สภาพแวดล้อมของเรือนจำไม่สอดรับกับวัยสูงอายุ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังสูงวัยในวาระท้ายของชีวิตได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสากลเทียบเท่าการรักษาในโรงพยาบาลภายนอก ด้วยทีมสหวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีบริการระบบการให้เยี่ยมออนไลน์สำหรับผู้ต้องขังในวาระท้ายในเรือนจำ และความต้องการในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้ต้องขังในเรือนจำ คือ การได้ “กลับบ้าน” ที่นับเป็นข้อค้นพบสำคัญ และเป็นความหวังสุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจ</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3810
ตัวคูณทางการคลัง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย
2025-06-30T21:58:53+07:00
ภาวิน ศิริประภานุกูล
pawin.si@chula.ac.th
<p>งานศึกษานี้ประเมินค่าตัวคูณทางการคลังโดยอาศัยกระบวนการทางเศรษฐมิติที่เป็นที่ยอมรับวงกว้างในปัจจุบัน โดยทดลองใช้ข้อมูลสะท้อนการใช้จ่ายของรัฐบาลที่แตกต่างกัน 5 ลักษณะ งานศึกษาพบว่าค่าตัวคูณการใช้จ่ายของรัฐบาลอยู่ที่ 0.25-0.49 ซึ่งมีค่าต่ำกว่า 1 อย่างชัดเจน ค่าตัวคูณดังกล่าวสะท้อนความไม่มีประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กและมีสัดส่วนของภาคเศรษฐกิจนอกระบบในระดับสูง ทั้งนี้ ค่าตัวคูณการใช้จ่ายของรัฐบาลดังกล่าวประเมินขึ้นจากข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของรัฐบาลที่มิได้คำนวณรวมการเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนของการชำระคืนต้นเงินกู้และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง/ชดใช้ทุนสำรองจ่าย ซึ่งมีความสอดคล้องการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในทางปฏิบัติมากกว่าข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ประเมินค่าตัวคูณทางการคลังในงานศึกษาในอดีต</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4090
การสังเคราะห์ภาวะความเป็นเจ้าบ้านบนพื้นฐานของการวิจัยสังคมเชิงประจักษ์: กรณีศึกษามุมมองเกี่ยวกับผู้อพยพเข้ามาในพื้นที่ปลายทางยอดนิยมของทวีปยุโรป
2025-06-30T21:58:46+07:00
ศิริพงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
siripong.spa@gmail.com
<p>จุดมุ่งหมายหลักของงานวิจัยนี้คือการสังเคราะห์นิยามและองค์ประกอบของแนวคิด “ภาวะความเป็นเจ้าบ้าน” ซึ่งมีรากฐานจากผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงพหุระหว่างทัศนคติต่อผู้อพยพเข้ามาในประเทศของตนกับภูมิหลังทางประชากร การเมือง และสังคม ของเจ้าบ้านในพื้นที่ปลายทางยอดนิยมของทวีปยุโรป โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการสำรวจทางสังคมชาวยุโรป ผลการสังเคราะห์แสดงให้เห็นว่าภาวะความเป็นเจ้าบ้านคือภาวะทางจิตสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งสำนึกร่วมทางสังคมและความพึงพอใจส่วนบุคคลในฐานะเจ้าบ้าน เกี่ยวกับการยึดถือและปฏิบัติตามเป้าหมายและแนวปฏิบัติว่าด้วยการอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสันติ เพื่อนำไปสู่การเปิดใจยอมรับและให้การต้อนรับผู้อพยพอย่างมีไมตรีจิต นอกจากนี้ บุคคลที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้อพยพหรือมีภาวะความเป็นเจ้าบ้านอย่างเด่นชัด ประกอบด้วยคุณสมบัติสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมทางการเมือง 2) การได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างเพียงพอ 3) การมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์อย่างรอบด้าน ตลอดจนรู้เท่าทันอารมณ์และความรู้สึก 4) การคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างสมดุล 5) การไม่ยึดติดกับอัตลักษณ์ของตน/พวกพ้องมากเกินไป และ 6) การมีความเห็นอกเห็นใจ/เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงมีมนุษยธรรมและให้ความสนใจแก่สิ่งรอบตัว</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3423
วัฏจักรแห่งอำนาจกับวิถีทางการเมืองของชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดีย ภายใต้นโยบายพหุวัฒนธรรม
2025-06-30T21:58:56+07:00
อภิรัฐ คำวัง
aphirat.kam@mahidol.edu
<p>บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาอิสระ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดียในฐานะชุมชนลำดับที่ 3 ภายใต้บริบทนโยบายพหุวัฒนธรรม โดยศึกษาบูรณาการด้านประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรม และรัฐศาสตร์ มุ่งพิจารณาถึงการเลือกตั้งทั่วไปกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผลการศึกษาในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ก) สิงคโปร์เปิดพื้นที่เชิงอำนาจทางการเมืองการปกครอง เชื้อสายอินเดียได้เข้าถึงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติผ่านการเลือกตั้งทั่วไป ระบบกำหนดให้มีเขตเลือกตั้งแบบรายกลุ่มที่มีเชื้อสายอินเดียเป็นสมาชิก (ตั้งแต่ ค.ศ. 1988) ในปัจจุบันสังกัดอยู่ในทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่การสร้างกลุ่มที่มีเชื้อสายตามอุดมการณ์และดำเนินตามนโยบายก็เป็นเรื่องยาก ข) ชุมชนเชื้อสายอินเดียมีประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าถึงตำแหน่งระดับสูงในฝ่ายรัฐบาล และการได้เข้าถึงตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดห้าในหกตำแหน่ง นั่นคือ ประธานาธิบดี รัฐมนตรีอาวุโส รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้พิพากษาสูงสุด และประธานรัฐสภา อย่างไรก็ดี ชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดียยังไม่ได้เข้าถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื้อสายจีนมีจารีตสืบทอดในตำแหน่งนี้มาโดยตลอด</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3969
การจัดสวัสดิการเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและสร้างความเป็นธรรมทางดิจิทัลแก่ผู้สูงอายุ
2025-06-30T21:58:49+07:00
เบญจรัตน์ สัจกุล
benjarat@nmu.ac.th
สุธีรา แสนมนตรีกุล
suteera@nmu.ac.th
เพ็ญจันทร์ เชอร์เรอร์
penmook@yahoo.com
โกสิน เทศวงษ์
ko.theswong@gmail.com
เบญจพร พุดซา
pb.pudsa@gmail.com
<p>ความเป็นธรรมทางดิจิทัล เป็นประเด็นที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงมากนักในประเทศไทย ถึงแม้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการ และสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานของรัฐที่ประชาชนควรได้รับ ส่วนใหญ่เมื่อนึกถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้คนมักกล่าวถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางสังคมในภาพกว้าง ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมถูกซ่อนไว้ในทุกมิติของชีวิต ดังนั้น การกล่าวถึงประเด็นชี้เฉพาะเรื่อง “ความเป็นธรรมทางดิจิทัลด้านสื่อและเทคโนโลยี” จึงมีไม่มากนัก นับว่าเป็นช่องว่างขององค์ความรู้ทางวิชาการที่ควรศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติม พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อจัดสวัสดิการที่เป็นธรรมให้แก่สมาชิกในสังคมอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะประชากรกลุ่มหลักที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ นั่นคือ กลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการเปิดมุมมองทัศนคติที่หลากหลายและกว้างขวางขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดวยาคติ (ageism) ของผู้คนในสังคมที่มีความเชื่อว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มวัยที่ล้าหลัง และตีตรา (stigma) ว่าเป็นกลุ่มประชากรที่ใช้งานสื่อเทคโนโลยีไม่เป็น ในขณะที่สถานการณ์สังคมปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ซึ่งจากข้อมูลที่ผู้เขียนได้ร่วมกันศึกษาวิจัยในประเด็นนี้ ทำให้ค้นพบองค์ความรู้ชุดใหม่ที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากที่สามารถใช้สื่อเทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ และหมั่นพัฒนาทักษะตนเอง ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ในทางตรงข้าม มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ยังขาดความรู้และทักษะใช้งานสื่อเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ทำให้พวกเขาถูกตัดขาดจากสังคมบางกลุ่มไปโดยปริยาย รวมทั้งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสวัสดิการของภาครัฐได้</p> <p>บทความชิ้นนี้จึงต้องการนำเสนอแนวทางจัดสวัสดิการเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ และสร้างความเป็นธรรมทางดิจิทัลแก่ผู้สูงอายุ เพื่อลดการแบ่งแยกเรื่องวัย ขยายอาณาเขตของพื้นที่ทางสังคม และปกป้องคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุในโลกจริงและโลกเสมือนให้มีความเสมอภาคเช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ โดยการนำผลการศึกษาวิจัยมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ปรากฏการณ์เหล่านี้ผ่านแนวคิดความเป็นธรรมทางสังคม (social justice theory) ความเป็นธรรมทางดิจิทัล (digital justice) และสิทธิมนุษยชนทางดิจิทัล (digital human rights)</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3926
การเปลี่ยนแปลงสังคมภาคเกษตรกับเส้นทางสู่ความยากจนข้ามรุ่น: กรณีศึกษาครัวเรือนเกษตรกรจังหวัดอำนาจเจริญ
2025-06-30T21:58:51+07:00
ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ
pinwadee.s@ubu.ac.th
<p>เกษตรกรถูกระบุว่าเป็นกลุ่มอาชีพที่ประสบปัญหาความยากจนมากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะครัวเรือนในชนบทซึ่งมีรายได้น้อย บทความนี้วิเคราะห์การเลื่อนชั้นของเกษตรกรในสังคมชนบทผ่านกรณีศึกษาครัวเรือนเกษตรกร โดยการถกเถียงกับแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสังคมภาคเกษตรที่ส่งผลต่อการเลื่อนชั้นทางสังคมและความยากจนข้ามรุ่น พบว่าครัวเรือนยากจนมีความพยายามในการยกระดับฐานะทางสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทว่าแต่ละครัวเรือนก็มีข้อจำกัดและเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสังคมภาคเกษตรที่โอกาส ทรัพยากร และเงินทุน รวมถึงช่องทางการศึกษาของบุตรหลานเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจด้านการพัฒนาครัวเรือน นอกจากปัจจัยส่วนบุคคลแล้ว ปัจจัยเชิงโครงสร้างมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ผลกระทบต่อความยากจนของเกษตรกร และปัญหาด้านการผลิตซ้ำนโยบายที่ส่งผลให้เกิดความยากจนมักจะไม่ได้รับความสนใจในการเป็นข้อถกเถียงในเชิงนโยบาย</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4414
การเมืองและยุทธศาสตร์ของการรวมกลุ่มชาวนา : จาก “นาแปลงใหญ่” สู่ความยืดหยุ่นด้วย “กลุ่มขนาดย่อม
2025-06-30T21:58:44+07:00
วีระ หวังสัจจะโชค
weeraw@nu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ศึกษาความยืดหยุ่นปรับตัวของชาวนาต่อบทบาทของรัฐในการส่งเสริมการรวมกลุ่ม ผ่านนโยบายนาแปลงใหญ่และการตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ว่า การรวมกลุ่มของชาวนาผ่านนโยบายนาแปลงใหญ่มีการเมืองและยุทธศาสตร์ตอบสนองต่อนโยบายรัฐในมิติของตัวเอง ผ่านการแย่งชิงทรัพยากรและงบประมาณของรัฐ โดยดำเนินการวิจัยด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ อย่างการสำรวจเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ และการจัดเสวนากลุ่ม โดยใช้กรณีศึกษา 5 พื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลก ผลการศึกษาพบว่า ชาวนามีความยืดหยุ่นปรับตัวต่อนโยบายรวมกลุ่มของรัฐ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มในมิติที่หลากหลายและไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐ จนอาจกล่าวได้ว่า การรวมกลุ่มของนโยบาย “นาแปลงใหญ่” เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ตั้งใจ กลับทำให้เกิดการรวมกลุ่ม “ขนาดย่อม” ของชาวนา เพราะสอดคล้องกับการปรับตัวและผลประโยชน์ของกลุ่มขนาดย่อมที่เห็นชัดเจนมากกว่ากลุ่มขนาดใหญ่ ด้วยการรวมกลุ่มขยาดย่อมสามแนวทาง ประกอบด้วย (1) การรวมกลุ่มขนาดย่อมด้วย “ความจำเป็น” ทางวิถีการผลิต การตลาด และสังคม (2) การรวมกลุ่มด้วยยุทธศาสตร์ในการช่วงชิงทรัพยากรและผลประโยชน์จากภาครัฐ และ (3) การปรับตัวสู่การรวมกลุ่ม เพื่อสร้างฐานทางการเมืองท้องถิ่นและการเคลื่อนไหวทางสังคม</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4415
เปรียบเทียบการสร้างรัฐสวัสดิการในกลุ่มประเทศตะวันตกและตะวันออก: แนวทางในการทำความเข้าใจการพัฒนารัฐสวัสดิการ
2025-06-30T21:58:42+07:00
วรรณภา ลีระศิริ
wannapa.l@cmu.ac.th
ภาคภูมิ แสงกนกกุล
pakpoom.sa@cmu.ac.th
<p>บทความวิจัยฉบับนี้ศึกษาพัฒนาการของรัฐสวัสดิการในกลุ่มประเทศตะวันตกและตะวันออกเพื่อตอบคำถามว่าการนำเอาความสำเร็จของรัฐสวัสดิการตะวันตกมาเป็นต้นแบบเพียงพอและเหมาะสมต่อการสร้างรัฐสวัสดิการของไทยหรือไม่ผ่านการศึกษาพัฒนาการของรัฐสวัสดิการในยุโรปตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และกลุ่มสแกนดิเนเวีย และประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างของทั้งสองกลุ่ม การวิจัยนี้ใช้แนวทางการวิจัยประวัติศาสตร์เชิงสถาบัน (Historical Institutional Approach) เน้นไปที่ปัจจัยทางด้านอุดมการณ์และปัจจัยโครงสร้างเชิงสถาบันเป็นสำคัญ ผลการศึกษาพบว่ารัฐสวัสดิการมีหลากหลายรูปแบบและประวัติศาสตร์เชิงสถาบันมีอิทธิพลต่อการกำหนดเส้นทางการพัฒนารัฐสวัสดิการ การก่อร่างสร้างรัฐสวัสดิการไทยจึงมิอาจลอกเลียนแบบรัฐอื่นได้ทั้งหมดแต่ต้องเข้าใจบริบทและประวัติศาสตร์ของตนเอง ประยุกต์ปรับปรุงให้เหมาะสมกับปัญหาสังคมที่ประสบอยู่ และจำเป็นต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันซึ่งต้องใช้เวลาหลายทศวรรษหรือศตวรรษในการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านอุดมการณ์รัฐสวัสดิการ โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม</p>
2025-06-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย