วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci
<p><strong>วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย </strong><strong>(Chulalongkorn University Journal of Social Science: CUJSS.) </strong>เป็นวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดประเภทบทความที่จะพิจารณาตีพิมพ์เป็น 3 ประเภท ดังนี้ <em>(1) บทความวิจัย (</em><em>Research article) (2) บทความวิชาการ (Academic article) และ (3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book review)</em> ทั้งนี้ บทความที่ส่งมาตีพิมพ์กับวารสารฯ<strong><em>ต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน</em></strong> ออกเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (เดือนมิถุนายน และ เดือนธันวาคม) โดยทุกบทความจะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ<strong><em>ไม่น้อยกว่า </em></strong><strong><em>3 คน</em></strong> ตามกระบวนการที่กองบรรณาธิการกำหนด</p> <p><strong><u>การประเมินบทความ</u></strong></p> <p>บทความวิจัยจะได้รับการประเมินแบบ double-blinded peer-reviewed process จากผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่า 3 คนผ่านระบบ ThaiJo2.0</p> <p>Each research article is double-blinded peer-reviewed by at least three expert reviewers and submission is online via ThaiJo2.0</p>
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Faculty of Political Science, Chulalongkorn University)
th-TH
วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2985-1297
-
ขบวนการเอกราชใน Catalonia
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2409
<p>บทความนี้ศึกษาขบวนการเอกราช Catalonia โดยศึกษาเรื่อง ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ความรุนแรงในช่วงต่างๆของการเคลื่อนไหว ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชกับรัฐธรรมนูญ เหตุผลของประชาชนที่สนับสนุนเอกราช และสถานการณ์ปัจจุบัน ความสำคัญพิเศษของขบวนการเอกราช Catalonia เพราะ Catalonia อยู่ในประเทศสเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายประเทศไทยหลายอย่าง (เป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่-ประมาณ 50 ปี / ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข / มีมาตราห้ามแบ่งแยกดินแดนในรัฐธรรมนูญ)</p> <p>ปัจจุบันรัฐบาลสเปนใช้กฎหมายเพื่อห้ามการทำประชามติเกี่ยวกับเอกราข และจับผู้นำขบวนไปขังโดยตั้งข้อหากบฏเพราะทำขัดกับรัฐธรรมนูญ ขบวนการเอกราชจึงมีความเห็นว่าต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเอง คำถามที่ถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญคือ ในเมื่อรัฐธรรมนูญกล่าวในมาตรา 1 ว่าประเทศสเปนปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการจัดประชามติเรื่องเอกราชโดยอิงสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการประชาธิปไตย) จะขัดกับรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ส่วนประเด็นของการที่มาตรา 2 กล่าวว่าประเทศสเปนเป็นรัฐเดี่ยวไม่สามารถแบ่งแยก ก็แสดงว่ามาตราในรัฐธรรมนูญขัดกันเองและต้องแก้ที่จุดนี้</p> <p>สิ่งที่ค้นพบจากการศึกษาการต่อสู้เพื่อเอกราชใน Catalonia คือ เมื่อขบวนการเอกราชมีที่ยืนในพื้นที่การเมืองและมีการถกกันเองภายในอย่างเปิดเผยเรื่องจะเอาเอกราชหรือไม่กลุ่มใช้ความรุนแรงผลักดันเอกราชก็ค่อยๆสลายไป ความรุนแรงที่เหลือคือการแสดงอารมณ์แรงในการถกเถียงกัน</p>
มารค ตามไท
งามศุกร์ รัตนเสถียร
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
192
208
10.61462/cujss.v54i1.2409
-
บทบรรณาธิการ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3733
ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0/
2024-06-30
2024-06-30
54 1
c
-
ระบอบอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง: กรอบแนวคิด, การเลือกตั้งในระบอบอำนาจนิยม และการควบคุมบงการ
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2520
<p>บทความนี้เป็นการสำรวจแนวความคิดที่อธิบายปรากฎการณ์ระบอบการเมืองโลกหลัง “คลื่นลูกที่สามของประชาธิปไตย” ซึ่งพบว่าประเทศจำนวนมากไม่ได้เป็นไปตามกระบวนทัศน์การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย แต่ตกอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองที่เรียกว่า “อำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง (Electoral Authoritarianism)” ที่เป็นการปกครองแบบอำนาจนิยมแต่ยังคงมีการเลือกตั้งแบบหลายพรรคและสถาบันการเมืองแบบประชาธิปไตยไว้ นอกจากนั้นยังพยายามอภิปรายถึงบทบาทของการเลือกตั้ง ที่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเครื่องมือในระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นกลไกสำคัญในการทำให้เป็นประชาธิปไตย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองแบบอำนาจนิยม เพื่อสร้างความชอบธรรมและการยอมรับจากประชาคมทั้งในและนอกประเทศ และสุดท้าย สำรวจวิธีการควบคุมบงการการเลือกตั้งและสถาบันการเมืองเพื่อรักษาอำนาจของผู้ครองครองแบบอำนาจนิยมไว้ต่อไป</p>
อุเชนทร์ เชียงเสน
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
1
25
10.61462/cujss.v54i1.2520
-
บทสำรวจชีวิตของคนจนเมืองหลุดระบบ: กรณีศึกษาคนจนเช่าบ้าน/ห้องในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2556
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “บทสำรวจเบื้องต้นชีวิตของคนจนเมืองหลุดระบบ:กรณีศึกษา คนจนเช่าบ้าน/เช่าห้องในเขตกรุงเทพมหานคร”ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่ม เฉพาะสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โครงการวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยช่วงที่สอง ที่สืบ เนื่องมาจากงานวิจัย “การทบทวนสถานการณ์ปัญหาของคนจนเมืองหลุดระบบในประเทศไทย” ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเดียวกัน เป้าหมายหลักของการวิจัยคือ การสังเคราะห์ปัญหาของคนจน เมืองที่หลุดระบบการช่วยเหลือจากรัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคนจนเมืองทั้งหมด คนจนเมืองหลุดระบบ เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ถูกสำรวจในฐานข้อมูลของรัฐ ไม่มีนโยบายภาครัฐเพื่อดูแลโดยตรงและขาดการ ศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ การระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำให้มีสภาพความเป็นอยู่ของคนจน เมืองหลุดระบบให้แย่ลง การวิจัยครั้งนี้ใช้กรณีศึกษา และเก็บข้อมูลผ่านการสำรวจชีวิตกลุ่ม คนจนเช่าบ้าน/ห้องในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเน้นศึกษาคนจนเช่าบ้าน/ห้องราคาถูก ทั้งในและนอกชุมชนแออัด เพื่อเข้าใจระบบบ้าน/ห้องเช่าของคนจนเมือง และวิถีชีวิตของคนจนที่เช่าบ้าน/ห้อง การเก็บข้อมูล ดำเนินการผ่านการทบทวนวรรณกรรม ทบทวนเอกสาร และสัมภาษณ์ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ผู้เช่าบ้าน และผู้ให้เช่า งานวิจัยค้นพบว่า กลุ่มคนจนเช่าบ้าน/เช่าห้องมีลักษณะขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ขาดนโยบาย และหน่วยงานดูแลโดยตรง งานวิจัยมีข้อเสนอว่า ภาครัฐควรกำหนดนโยบายด้านบ้านเช่าห้องเช่าและ ตั้งกระทรวงที่กำหนดนโยบายที่ครอบคลุมด้านที่อยู่อาศัยโดยตรง ทั้งควรขยายอำนาจการดูแลบ้าน/ห้องเช่า ให้รัฐบาลท้องถิ่น</p>
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
26
45
10.61462/cujss.v54i1.2556
-
การปรับตัวและการต่อรองของชุมชนชาติพันธุ์ต่อนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยรัฐ: กรณีศึกษาชุมชนบ้านกลาง และชุมชนบ้านฮ่าง จังหวัดลำปาง
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2634
<p>จากการศึกษา พบว่า นโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของรัฐ เช่น นโยบายทวงคืนผืนป่า การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) มาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนบ้านกลางและชุมชนบ้านแม่ฮ่างได้รับผลกระทบทำให้เกิดการสูญเสียที่ดินทำกิน การสูญเสียวิถีไร่หมุนเวียนที่มาแต่เดิม และมีการห้ามใช้ประโยชน์จากป่า ซึ่งผลกระทบที่ชุมชนได้รับนำมาสู่การปรับตัวและการต่อรอง ผลการวิจัยพบว่า การปรับตัวของชุมชนบ้านกลางและชุมชนบ้านแม่ฮ่างมีทั้งที่เป็นไปในลักษณะคล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน การปรับตัวที่คล้ายคลึงกัน คือ การลดจำนวนปีของไร่หมุนเวียน และการลดขนาดพื้นที่แปลง หรือเลิกการทำไร่หมุนเวียน แต่ความแตกต่างคือชุมชนบ้านกลางยังคงยืนหยัดทำไร่หมุนเวียนอยู่แม้จะต้องปรับรูปแบบและรอบเวลา ในขณะที่ชุมชนบ้านแม่ฮ่างหันมาปลูกพืชเกษตรกรรมผสมผสานและนำการท่องเที่ยวมาเป็นแหล่งรายได้เสริม จึงนำมาสู่การต่อรองของชุมชนทั้งสอง ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวชุมนุม การต่อรองผ่านสื่อออนไลน์ การจัดทำข้อมูลชุมชน และการจัดการทรัพยากรของชุมชน ซึ่งการต่อรองเหล่านี้เป็นการเรียกร้องสิทธิของชุมชน และแสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดต่อสู้ในการรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเองที่ชุมชนพิสูจน์ว่าคนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสมดุล ส่วนผลที่เกิดขึ้นหลังจากการปรับตัวและการต่อรองของชุมชน คือหน่วยงานรัฐประนีประนอมให้ชุมชนบ้านกลางและชุมชนบ้านแม่ฮ่างมีสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แบ่งพื้นที่ในการเข้าไปเก็บของป่าโดยไม่ต้องขออนุญาตแต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่จำกัด และพื้นที่บางส่วนของชุมชนได้รับการกันออกจากพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท นอกจากนี้ทั้งสองชุมชนได้มีส่วนร่วมกับกรมป่าไม้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การฟื้นฟูป่าไม้ การปลูกป่า รวมถึงการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ข้อมูลร่วมกันกับรัฐ ตลอดจนการบวชป่าที่รัฐได้เข้ามาร่วมพิธีกรรมด้วย ผลที่เกิดขึ้นทำให้รัฐไม่เข้ามาแทรกแซงการจัดการป่าของชุมชนมากนัก เนื่องจากเป็นประเพณีของชุมชนที่มีการสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานและรัฐเริ่มเข้าใจในแนวทางการดูแลป่าตามแบบแผนของชุมชนมากขึ้น อย่างไรก็ดี รัฐก็ยังมีบทบาทหลักในการจัดการทรัพยากรผ่านกลไกของกฎหมายหรือนโยบาย และชุมชนยังไม่มีความมั่นคงในถิ่นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ชุมชนบ้านกลางและชุมชนบ้านแม่ฮ่างยังเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้มีการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชนในรูปแบบโฉนดชุมชน และกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และถึงแม้บางส่วนของชุมชนบ้านกลางและชุมชนบ้านแม่ฮ่างจะได้รับการกันออกจากพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานฯ แต่ยังมีพื้นที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท โดยอยู่ในขั้นตอบการตรวจสอบสิทธิ์เป็นลำดับไป</p>
วัชรารินทร์ วงศ์ษานิติ
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
46
79
10.61462/cujss.v54i1.2634
-
การประเมินผลระบบอภิบาลระบบสุขภาพปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับการถ่ายโอนไปสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด ปีงบประมาณ 2566
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3271
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการอภิบาลระบบสุขภาพปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับการถ่ายโอนไปสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดในปีงบประมาณ 2566 ผลแห่งการทบทวนวรรณกรรมทำให้เกิดกรอบแนวคิดการวิจัยโดยการผสมผสานตัวแบบอภิบาลขององค์การอนามัยโลกกับตัวแบบระบบสุขภาพปฐมภูมิของไทยประกอบกัน ในด้านระเบียบวิธีวิจัย คณะวิจัยได้เลือกใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบสำรวจและอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น (Exploratory with Descriptive Case Study) ผลการวิจัยพบว่า การอภิบาลระบบสุขภาพปฐมภูมิของไทยยังอยู่ในฐานะเริ่มต้น กลไกต่าง ๆ ยังมีลักษณะเป็นเพียงรูปแบบมากกว่าแก่นแท้ที่เป็นสาระสำคัญ ซึ่งมีความจำเป็นต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งในระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ</p>
อุดม ทุมโฆสิต
จันทรานุช มหากาญจนะ
อลงกต สารกาล
สุพัฒน์จิตร ลาดบัวขาว
กรณ์ หุวะนันทน์
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
80
116
10.61462/cujss.v54i1.3271
-
ความชุก ลักษณะทางประชากรและทางคลินิกของเหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2537-2566 และข้อเสนอแนะจากการวิเคราะห์ทางจิตเวชศาสตร์
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2898
<p>เหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสร้างความสูญเสีย ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างฐานข้อมูลของการเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงในประเทศไทย วิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะข้อคิดเห็นจากมุมมองทางจิตเวชศาสตร์ ผู้วิจัยทำการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังโดยรวบรวมเหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2537 - 2566 โดยใช้คำจำกัดความทางวิชาการสากล แล้วเก็บข้อมูลลักษณะทางประชากรและทางคลินิก รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ผู้ก่อเหตุและเหยื่อ ผลการวิจัยพบมีเหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงเกิดขึ้นรวม 78 ครั้งใน 30 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ 65 ครั้ง และเหตุการณ์กราดยิง 49 ครั้ง ผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (89.23%) ใช้อาวุธปืนก่อเหตุ (66.16%) มีประวัติการใช้สารเสพติด (27.69%) มีประวัติการฝึกใช้ปืน (20%) มีประวัติโรคทางจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (7.7%) มีผู้เสียชีวิต 348 รายจากเหตุการณ์รวมทั้งหมด โดยสรุปคือเหตุการณ์สังหารหมู่และกราดยิงในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นประจำและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยสำคัญของเหตุการณ์สังหารหมู่ในประเทศไทยคือการเข้าถึงและฝึกใช้อาวุธปืน ปัญหายาเสพติด ส่วนประวัติโรคทางจิตเวชพบไม่มาก การสร้างฐานข้อมูลและศึกษาเหตุการณ์เหล่านี้ทางวิชาการต่อไป อาจนำไปสู่แนวทางป้องกันที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต</p>
พร ทิสยากร
ธันวัน เจริญไชยเนาว์
เหมือนเพชร ราชายนต์
วิชยุตม์ เพศยนาวิน
พิมพ์ประพันธ์ อุไรกุล
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
117
140
10.61462/cujss.v54i1.2898
-
แนววิเคราะห์หลังสังคมนิยมและกรณีศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/2994
<p>บทความวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อสำรวจแนววิเคราะห์หลังสังคมนิยมหรือหลังคอมมิวนิสต์กับการอธิบายการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศอดีตสังคมนิยมและประเทศสังคมนิยม และการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดของระบอบสังคมนิยมในประเทศสังคมนิยม ผ่านการศึกษาประเทศสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สปป.ลาวและเวียดนาม ด้วยการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า หลังสังคมนิยม หรือ หลังคอมมิวนิสต์ เกิดขึ้นในยุคปลายสงครามเย็นที่หลายประเทศสังคมนิยมปฏิรูประบบเศรษฐกิจและพัฒนาประชาธิปไตย จนนำไปสู่การศึกษาการเปลี่ยนผ่านและการทำให้(ประชาธิปไตย)เข้มแข็ง ที่เชื่อเรื่องความเป็นสากล โดยนักรัฐศาสตร์การเมืองเปรียบเทียบ แต่แนวทางดังกล่าวกลับได้รับการโต้แย้งโดยนักวิชาการด้านอาณาบริเวณศึกษาที่เชื่อเรื่องความหลากหลายและการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ หลังจากนั้นการศึกษาหลังสังคมนิยมจึงมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศอดีตสังคมนิยมและสังคมนิยมปัจจุบัน</p>
สุพิชฌาย์ ปัญญา
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
141
167
10.61462/cujss.v54i1.2994
-
จากจอบสู่จาน: เชฟส์ เทเบิล การกินอย่างมีหลักการ และ ภูมิทัศน์อาหารไทย
https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/3139
<p>การวิจัยเรื่อง “จากจอบสู่จาน: เชฟส์ เทเบิล การกินอย่างมีหลักการ และภูมิทัศน์อาหารไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการกินอย่างมีหลักการและรูปแบบภูมิทัศน์อาหารไทย (2) ศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการกินอย่างมีหลักการ และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการกินอย่างมีหลักการสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่าง คือ เชฟที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ให้บริการประเภทเชฟส์ เทเบิล และหรือเป็นผู้ที่มีการนำหลักเรื่องการกินอย่างมีหลักการมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ จำนวน 5 คน วิธีการวิจัยใช้การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) จริยธรรมด้านอาหารเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกที่เราเชื่อว่าดีและถูกต้องเกี่ยวกับอาหารที่เรากิน เชฟและผู้ร่วมงานสร้างสรรค์เมนูบนพื้นฐานของการคิดถึงห่วงโซ่อุปทานของระบบอาหารยั่งยืนที่สัมพันธ์ไปกับท้องถิ่น วัฒนธรรมและฤดูกาล (2) เมนูสร้างสรรค์ สัมพันธ์กับเรื่องราวของเชฟ ที่มาของวัตถุดิบ วิธีการปรุง วิธีปฏิบัติการเสิร์ฟอาหารและการจับคู่กับเครื่องดื่ม เป็นแนวทางการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการกินอย่างมีหลักการภายใต้ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจอาหารและวิสาหกิจรายย่อย ควบคู่ไปกับการเชิดชูคุณค่าของวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น (3) การใช้ภูมิทัศน์อาหาร รวมถึงยกระดับอาหารท้องถิ่นมาสู่เมนูสร้างสรรค์ในร้าน เป็นแนวทางการพัฒนาการกินอย่างมีหลักการที่สามารถสร้างงานในชุมชนท้องถิ่นผ่านการผลิต/จัดหาวัตถุดิบ/แรงงานจากละแวกท้องถิ่น การศึกษาเน้นย้ำว่า การกินอย่างมีหลักการไม่เพียงแต่เป็นปฏิบัติการทางอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาชุมชนภายในภูมิทัศน์อาหารไทย และยังแสดงให้เห็นว่า สามารถทำหน้าที่เป็นกรอบในการศึกษาวัฒนธรรมอาหารร่วมสมัยในมิติทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาต่อไปได้อีกด้วย</p>
ปิยรัตน์ ปั้นลี้
Copyright (c) 2024 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-06-30
2024-06-30
54 1
168
191
10.61462/cujss.v54i1.3139