วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci <p><strong>วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย </strong><strong>(Chulalongkorn University Journal of Social Science: CUJSS.) </strong>เป็นวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดประเภทบทความที่จะพิจารณาตีพิมพ์เป็น 3 ประเภท ดังนี้ <em>(1) บทความวิจัย (</em><em>Research article) (2) บทความวิชาการ (Academic article) และ (3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book review)</em> ทั้งนี้ บทความที่ส่งมาตีพิมพ์กับวารสารฯ<strong><em>ต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน</em></strong> ออกเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (เดือนมิถุนายน และ เดือนธันวาคม) โดยทุกบทความจะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ<strong><em>ไม่น้อยกว่า </em></strong><strong><em>3 คน</em></strong> ตามกระบวนการที่กองบรรณาธิการกำหนด</p> <p><strong><u>การประเมินบทความ</u></strong></p> <p>บทความวิจัยจะได้รับการประเมินแบบ double-blinded peer-reviewed process จากผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่า 3 คนผ่านระบบ ThaiJo2.0</p> <p>Each research article is double-blinded peer-reviewed by at least three expert reviewers and submission is online via ThaiJo2.0</p> คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Faculty of Political Science, Chulalongkorn University) th-TH วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2985-1297 <h1>เงื่อนไขการอนุญาตสาธารณะ</h1> <h2>นโยบายลิขสิทธิ์และการอนุญาต</h2> <p>วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดภายใต้ <strong>สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 นานาชาติ (CC BY-NC-ND 4.0)</strong></p> <h3>ลิขสิทธิ์</h3> <p>บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นลิขสิทธิ์ของ <strong>คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</strong> ผู้เขียนจะโอนสิทธิ์ทั้งหมดให้แก่วารสารเมื่อบทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์</p> <h3>สัญญาอนุญาต CC BY-NC-ND 4.0</h3> <p>ภายใต้สัญญาอนุญาตนี้:</p> <ul> <li> <p><strong>แสดงที่มา (BY)</strong>: ผู้ใช้ต้องแสดงที่มาโดยอ้างอิงถึงผู้เขียน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทั้งให้ลิงก์ไปยังสัญญาอนุญาต และระบุหากมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้สามารถทำได้ในลักษณะที่สมเหตุสมผล แต่ต้องไม่ทำในลักษณะที่แสดงว่าผู้อนุญาตให้การรับรองผู้ใช้หรือการใช้งานดังกล่าว</p> </li> <li> <p><strong>ไม่ใช้เพื่อการค้า (NC)</strong>: ผู้ใช้ไม่สามารถใช้เนื้อหาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า การใช้งานเชิงพาณิชย์จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากผู้เขียนและคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</p> </li> <li> <p><strong>ไม่ดัดแปลง (ND)</strong>: หากผู้ใช้นำเนื้อหาไปรวม ดัดแปลง หรือต่อยอด ผู้ใช้ไม่สามารถเผยแพร่งานที่ดัดแปลงนั้นได้ การดัดแปลงผลงานจะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากผู้เขียนและคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</p> </li> </ul> <h3>นโยบายการเข้าถึงแบบเปิด</h3> <p>วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้การเข้าถึงเนื้อหาแบบเปิดโดยทันทีตามหลักการที่ว่าการทำให้งานวิจัยสามารถเข้าถึงได้อย่างเสรีแก่สาธารณะจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้ในระดับโลก ผู้ใช้สามารถอ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก เผยแพร่ พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาฉบับเต็มของบทความได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากผู้จัดพิมพ์หรือผู้เขียน ทั้งนี้เป็นไปตามสัญญาอนุญาต CC BY-NC-ND 4.0</p> <h3>นโยบายการเก็บบันทึกด้วยตนเอง</h3> <p>ผู้เขียนสามารถเก็บบันทึกบทความฉบับตีพิมพ์สุดท้าย ต้นฉบับที่ส่ง (preprint) หรือฉบับที่ผ่านการประเมิน (postprint) ในคลังสถาบันหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้ โดยต้องมีการอ้างอิงการตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมระบุแหล่งอ้างอิงที่สมบูรณ์และลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของวารสาร</p> <h3>การขออนุญาต</h3> <p>สำหรับการใช้งานนอกเหนือจากที่ครอบคลุมโดยสัญญาอนุญาต CC BY-NC-ND 4.0 กรุณาติดต่อ:</p> <p>กองบรรณาธิการ<br />วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />Email: cusocscij@gmail.com</p> <p>สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 นานาชาติ กรุณาเยี่ยมชม: <a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/deed.th" target="_blank" rel="noopener">https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/deed.th</a></p> ASEAN Centrality in the Era of Great Power Competition: Hedging for Survival and Prosperity https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/5114 <p>The Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) was formed in 1967 with the Bangkok Conference as a bulwark against the spread of Communism in Southeast Asia. In its 57 years of existence, ASEAN has proven to be a durable organization capable of organizational change. Furthermore, as the oldest and only standing regional organization with full membership of its region, or sub-region, ASEAN has a large degree of credibility in international affairs. With the end of the Unipolar moment where the ‘West’ led by the United States exercised hegemony and the beginning of a multipolar world, ASEAN and its member states are entering into a new and dangerous period of great power competition. This holds both opportunities and perils similar in scope to the Cold War. This article will demonstrate, using a historical and strategic institutional hedging approach to argue that ASEAN will continue to play a pivotal and central role in East Asian international relations. It will be argued that as small states with a historically constructed networked institutional architecture which incorporates all great powers can exercise strategic institutional hedging, between security and economic interests against being forced to choose sides in the era of increased security competition between the world’s great powers.</p> William J Jones Chanya Supakul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2 การเปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในฐานะการปฏิบัติการทางสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ระหว่างคนท้องถิ่นกับผู้อพยพภายใต้ยุคสมัยแห่งการเคลื่อนย้าย: ข้อค้นพบจากการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อ การยอมรับการเข้ามาของผู้อพยพในเอเชียตะวันออก https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4282 <p>จุดมุ่งหมายหลักของการวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้ คือ การศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างพฤติกรรมการเปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมกับระดับการยินยอมให้ผู้อพยพเข้ามาในเอเชียตะวันออกของ พลเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ผู้วิจัยเลือกใช้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลด้านวัฒนธรรมของคลังข้อมูลการสำรวจทางสังคมในเอเชียตะวันออก (EASSDA) ฐานข้อมูลดังกล่าวเกิดจากการเก็บรวบรวมข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างในภูมิภาคดังกล่าวจำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งมีจำนวนตัวอย่างรวมทั้งหมด 9,029 ราย เมื่อพิจารณาถึงผลการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่ยังไม่เปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมเท่าที่ควร และยินยอมระดับน้อยที่จะให้มีผู้อพยพเข้ามาในภูมิภาคของตน ในส่วนของผลการวิเคราะห์ สถิติเชิงอนุมานด้วยเทคนิคการวิเคราะห์การถดถอยพหุด้วยแบบจำลองโพรบิต ผู้วิจัยพบว่า พฤติกรรมการเปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมเกือบทุกรูปแบบ (ยกเว้นการเปิดรับสื่อต่างประเทศ) ได้แก่ การพูดคุยเกี่ยวกับ ประเด็น/ปัญหาระหว่างประเทศกับผู้อื่น การเดินทางไปต่างประเทศ และการมีคนรู้จักเป็นชาวต่างชาติ ต่างเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการยินยอมระดับมากที่จะให้มีผู้อพยพเข้ามาในภูมิภาคดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า ระดับการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นมีอิทธิพลเชิงบวกต่อการยินยอมระดับมากที่จะให้มีผู้อพยพในพื้นที่ของตน แต่ในทางตรงกันข้าม การยึดมั่นในความเป็นชาตินิยมเป็นอย่างมากเข้าข่ายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งต่อการยินยอมระดับมากที่จะให้มีผู้อพยพเข้ามาในภูมิภาคดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด</p> ศิริพงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2 ปัจจัยเชิงกลยุทธ์และบทบาทของของภาครัฐในการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรธุรกิจ: กรณีศึกษาองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4671 <p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัจจัยเชิงกลยุทธ์และบทบาทของภาครัฐที่ส่งผลต่อความยั่งยืนขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ภาวะผู้นำ นโยบายองค์กร บุคลากร และการทำงานเป็นทีม และนวัตกรรมและเทคโนโลยี จากการเก็บข้อมูลจากพนักงาน 680 คน ในองค์กรขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การบูรณาการปัจจัยเชิงกลยุทธ์และการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคงและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะภาวะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งสามารถกระตุ้นแรงจูงใจของพนักงาน ส่งผลต่อความยั่งยืนขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ นโยบายองค์กรที่มีแผนกลยุทธ์ชัดเจนและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพนักงานผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้องค์กรปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อม การลงทุนในนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างองค์กรให้ยั่งยืน ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายสนับสนุนภาวะผู้นำ การให้สิทธิ ประโยชน์ทางภาษี และการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา อีกทั้งการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ยังช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านขององค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นระบบ</p> แววไพลิน พันธุ์ภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2 การเมืองในนโยบายกัญชาของประเทศไทย https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4766 <p>บทความวิจัยนี้ศึกษานโยบายกัญชาของประเทศไทยภายในทิศทางเป็นเสรีนิยมมาก มีข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้กัญชาในประเทศไทย และมีความสับสนในความพยายามย้อนกลับไปเป็นอนุรักษนิยมอีกครั้งด้วย จุดประสงค์ศึกษากระบวนการนโยบายกัญชาของประเทศไทยในรายละเอียด มีคำถามวิจัยว่า นโยบายกัญชาของไทยมีลักษณะอย่างไร มีสมมติฐานว่า มีข้อห่วงใยอย่างมากในนโยบายลักษณะเสรีนิยมนี้มีความสับสนที่นโยบาย อาจย้อนกลับเป็นอนุรักษนิยมอีกครั้ง และมีการเมืองอยู่ภายในกระบวนการนโยบายกัญชา งานวิจัยใช้แนวคิดด้านความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์และความชาญฉลาดของประชาธิปไตยเป็นกรอบการศึกษา ประกอบการวิเคราะห์ตอบคำถามวิจัย ขอบเขตด้านเวลาในการศึกษาอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2561-2567 งานวิจัยใช้ข้อมูลทุติยภูมิในการศึกษาประกอบด้วย หลักฐานการรายงานของสื่อมวลชนถึงกระบวนการนโยบายกัญชาไทย และเอกสารนโยบายสาธารณะด้านกัญชา เช่น ประกาศกระทรวง สำหรับข้อค้นพบและการวิเคราะห์ บทความวิจัยถกแถลงถึงความกำกวมในการเป็นสารเสพติดเป็นลักษณะของพืชกัญชา ที่อธิบายด้วยแนวคิดความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ กัญชาได้รับการตีความว่าสามารถใช้ได้ทั้งในทางการแพทย์และในทางสันทนาการด้วย เกิดข้อห่วงใย และจำเป็นต้องติดตามดูแลการแพร่หลายของผลิตภัณฑ์กัญชาในอาหาร งานวิจัยวิเคราะห์อภิปรายการเมืองภายในนโยบายกัญชาของประเทศไทย เช่น ความพยายามผลักดันให้นโยบายกลับไปเป็นอนุรักษนิยมอีกครั้ง เป็นอีกส่วนหนึ่งของความสับสนของนโยบาย และงานวิจัยถกแถลงว่าความชาญฉลาดของประชาธิปไตยมีความสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายกัญชา</p> พิษณุ เสงี่ยมพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2 การศึกษาภาพลักษณ์ของประเทศจีนผ่านอีสปอร์ต: การสื่อสาร กลยุทธ์การทูต และการตลาดเชิงเนื้อหา ผ่าน Honor of Kings และ Arena of Valor https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4254 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาพลักษณ์รูปแบบการสื่อสารกลยุทธ์การทูตของจีน และศึกษาการตลาดเชิงเนื้อหาผ่านเกม Arena of Valor และ Honor of Kings (2) เปรียบเทียบความสอดคล้อง และความแตกต่างของทั้ง 2 เกม และ (3) เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาเนื้อหา รูปแบบการสื่อสาร และกลยุทธ์การทูตผ่านอีสปอร์ตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดย การวิจัยเอกสาร (documentary research) และการวิเคราะห์เนื้อหาที่ถูกนำเสนอบนเฟซบุ๊ก 4 เพจ ได้แก่ Honor of Kings, HoK Global Esports, Garena RoV Thailand, และ KingSauce Legends รวบรวมได้ ทั้งหมด 5,300 โพสต์<br />ผลการศึกษาพบว่า (1) รูปแบบการสื่อสารและการนำเสนอเนื้อหาของเกม Honor of Kings และ Arena of Valor มีความแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของแต่ละเพจเกม Honor of Kings เน้นการนำเสนอให้เห็นถึงรูปแบบการเล่น การประกาศเปิดให้บริการในต่างประเทศ โดยใช้ตัวละครภายในเกมเป็นตัวนำเสนอผ่านรูปแบบวิดีโอความยาวประมาณ 1-3 นาที ด้านกิจกรรมการแข่งขันอีสปอร์ตและเงื่อนไขการแข่งขันของเกม Honor of Kings นำเสนอโดยการใช้ภาพนิ่งของนักกีฬาและภาพอินโฟกราฟิก (Infographic) ในขณะที่เกม Arena of Valor เน้นการนำเสนอเพื่อโฆษณาสินค้าและบริการของเกม รวมถึงการสร้างชุมชนผู้เล่น (communities) ผ่านการใช้ภาพนิ่งและผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์ (influencer) (2) การนำเสนอเกม Honor of Kings สามารถสะท้อนภาพของวัฒนธรรมและความสร้างสรรค์ (creativity) เนื่องจากผู้ให้บริการเกมเป็นบริษัทภายในประเทศจีนที่ดำเนินนโยบายของบริษัทตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม (Ministry of Cultural) ของประเทศจีน ในขณะที่การนำเสนอเนื้อหาของเกม Arena of Valor ดำเนินการจากผู้ให้บริการภายนอกประเทศจีน จึงไม่ได้ดำเนินนโยบายของบริษัทตามทิศทางของกระทรวงวัฒนธรรม (Ministry of Cultural) ของประเทศจีน และ (3) ข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาเนื้อหาควรสนับสนุนให้ผู้ผลิตและพัฒนาเกม ในประเทศสามารถผสมผสานและประยุกต์ใช้วัฒนธรรมภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการนำเสนอภาพลักษณ์ และวัฒนธรรมสู่ผู้ใช้บริการเกมในระดับสากล</p> ธีรติร์ บรรเทิง พร้อมพรรณ แจ้งการดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2 แนวทางการจัดสวัสดิการสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี https://so08.tci-thaijo.org/index.php/ssjpolsci/article/view/4010 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการจัดสวัสดิการสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองเพชรบุรี 2) ศึกษาการจัดสวัสดิการสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองเพชรบุรี 3) เสนอแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธี ในเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี จำนวน 374 คน ด้วยตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ส่วนวิธีวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบ สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน โดยเลือกแบบเจาะจงจากปลัดเทศบาลเมืองเพชรบุรี เจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคมเทศบาลเมืองเพชรบุรี และตัวแทนผู้สูงอายุในชุมชน ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุและผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยทางการจัดสวัสดิการสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย (R) = 0.728 ซึ่งส่งทางบวกทุกตัว มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 53.10 นำมาเขียนเป็นสมการถดถอยได้ดังนี้ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\check{Y}" alt="equation" /><sub>tot</sub> = 0.271 (X<sub>4</sub>) + 0.241 (X<sub>3</sub>) + 0.143 (X<sub>2</sub>) และ 3) แนวทางการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คือ 1) ควรส่งเสริมกิจกรรมการสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว 2) ควรจัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุเพื่อแก้ปัญหาผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง 3) ควรจัดตั้งศูนย์เพื่อดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และ 4) ควรจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละช่วงอายุ</p> อัญชนา สายสร้อย ดารัณ พราหมณ์แก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-15 2025-12-15 55 2