การสร้างสรรค์การแสดงนาฏยประดิษฐ์ : ระบำเทวีอัปสราตาเมือนธม สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ผู้แต่ง

  • ยุวดี พลศิริ สาขาวิชานาฏศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

คำสำคัญ:

นาฏยประดิษฐ์, นางอัปสรา, ปราสาทตาเมือนธม

บทคัดย่อ

ระบำเทวีอัปสราตาเมือนธม สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นผลงานที่ได้ผลการศึกษามาจากข้อมูลศิลปกรรมขอมโบราณ ด้านภาพสลักนางอัปสรที่พบบริเวณส่วนประกอบภายในของปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากการค้นคว้าเอกสาร และการลงภาคสนาม โดยใช้กระบวนการ สำรวจ สังเกตและสัมภาษณ์ เพื่อนำข้อมูล ที่ได้มาจัดกระทำ และตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า (Data Triangulation) เพื่อนำข้อมูลดังกล่าว มาออกแบบการแสดงนาฏประดิษฐ์ ที่ใช้เทคนิคการบูรณาการระหว่าง จินตนาการของผู้สร้างสรรค์ กับการใช้แนวคิดหลักนาฏยประดิษฐ์ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1) เรื่องราว 2) ท่ารำ 3) การแต่งกาย 4) ดนตรี 5) การแปรแถว ซึ่งผู้สร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านนาฏศิลป์ไทยเป็นพื้นฐาน จากนั้นจึงสร้างสรรค์ผลงานตามขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1) การกำหนดโครงร่างร่วม 2) การออกแบบการแสดง 3) การสร้างสรรค์การแสดงและการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ชม ผลจากการศึกษาพบว่า ภาพสลักนางอัปสรปราสาทตาเมือนธม เป็นการศึกษาเพื่อนำท่าทางที่พบมาพัฒนาเป็นท่ารำ โดยใช้แม่ท่าจากตำรานาฏยศาสตร์ ฉบับภรตมุนี ที่เรียกว่าท่ารำพระศิวะ 108 กระบวนท่า สู่การสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างท่ารำทางด้านนาฏศิลป์ไทยกับท่าทางที่ประดิษฐ์ท่าขึ้นมาใหม่ ประสานกับจังหวะทำนองเพลงที่ให้ความรู้สึกคล้อยตามเรื่องราว โดยยกประเด็นความงามของนางอัปสร และความศรัทธาของมนุษย์ต่อเทวสตรี ซึ่งได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ มาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เชื่อว่านางอัปสรเป็นบุคคลที่ดลบันดาลความสงบร่มเย็นมาสู่มวลมนุษย์ได้ ผลงานชิ้นนี้เป็นลักษณะของงานสร้างสรรค์เชิงทดลอง และเป็นการแสดงชุดเดียวที่ได้รับแนวคิดมาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากเรื่องเล่าจากปราชญ์ชาวบ้านที่มีต่อปราสาทตาเมือนธม สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เป็นการแสดงที่เกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่าทางจิตใจ ด้านความเชื่อ การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาต่อเทพเจ้า ซึ่งนับเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ แต่จะผันแปรไปตามบริบท ตามยุคสมัยที่มีส่วนในการสร้างสรรค์ปั้นแต่งให้เทพเจ้านั้นมีอยู่จริง และเป็นสื่อที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมโบราณสถานได้เข้าใจและเห็นความสำคัญของปราสาทแห่งนี้

References

กีรติ บุญเจือ. (2522). ชุดปัญหาปรัชญา ปรัชญาศิลปะ. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

ปแฎงมหาบุญเรือง คัชมาย์. (2551). กลุ่มปราสาทตาเมือน. พิมพ์ครั้งที่ 1 สุรินทร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.

พิญชา สุ่มจินดา. (2560).“ภาพงานพระเมรุสมเด็จพระเพทราชาที่ค้นพบใหม่กับข้อวินิจฉัยเบื้องต้น,” ศิลปวัฒนธรรม 38 (มกราคม): 99–90.

พีรพงศ์ เสนไสย. (2546). นาฏยประดิษฐ์. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

สุภัทรดิศ ดิศกุล. (2539). ศิลปะขอม. กรุงเทพฯ: คุรุสภา.

สุรพล, วิรุฬห์รักษ์. (2547). หลักการแสดงนาฏยศิลป์ปริทรรศน์. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.

ศิริพร สุเมธารัตน์. (2554). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสุรินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.

ศิริมงคล นาฏยกุล. (2557). นาฏยศิลป์ตะวันตกปริทัศน์. ขอนแก่น: หจก. โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.

ศานติ ภักดีคำ. (2557). ครุฑ. อมรินทร์: กรุงเทพมหานคร.

อนงค์ หนูแป้น. (2535). การศึกษากลุ่มปราสาท. วิทยานิพนธ์ หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.

อุไร นาลิวันรัตน์. (2522). นางอัปสรในวรรณคดีสันสกฤต. วิทยานิพนธ์ หลักสูตรปริญญาอักษร.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2022-11-27

How to Cite

พลศิริ ย. . . (2022). การสร้างสรรค์การแสดงนาฏยประดิษฐ์ : ระบำเทวีอัปสราตาเมือนธม สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม. วารสารวิชาการมนุษย์และสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, 4(2), 50–68. สืบค้น จาก https://so08.tci-thaijo.org/index.php/jhuso/article/view/1079