ปัจจัยและผลกระทบทางกฎหมายต่อการลงทุนของไทยในกลุ่มประเทศ CLMV

บทคัดย่อ

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลำพังเพียงการแสวงหาตลาดใหม่ภายในประเทศไม่เพียงพออีกต่อไป การขยายฐานธุรกิจด้วยการร่วมมือทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศอื่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ ซึ่งกลุ่มประเทศที่น่าจับตามองมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มศักยภาพดี เหมาะแก่การค้าการลงทุน ประเทศไทยเห็นว่า กลุ่มประเทศ CLMV จะเป็นกลไกสำคัญที่สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของไทย และการที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ โดยประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของกลุ่ม CLMV ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการขนส่งของไทยมีประสิทธิภาพเพียงพอที่กลุ่มประเทศ CLMV จะเข้ามาพึ่งพาความช่วยเหลือ

กลุ่มประเทศ CLMV ประสบกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยตลาดมีอำนาจซื้อเพิ่มสูงขึ้น จนธุรกิจภายในประเทศไม่อาจรองรับอำนาจซื้อได้อย่างทันการณ์ จึงต้องอาศัยการบริโภคสินค้าและบริการจากการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าและบริการจากประเทศไทยซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มประเทศเหล่านี้เสมอมา เมื่อประเทศไทยเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนจากกลุ่มนี้ จึงได้มีการร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในนาม “CLMV” แม้ประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV จะเป็นประเทศสมาชิกในอาเซียนที่ได้มีการร่วมมือกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การร่วมมือในกลุ่มขนาดเล็กคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความแตกต่างกันในบริบทของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ถือเป็นข้อกังวลลำดับต้น ๆ ของนักลงทุนที่มองว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ ทั้งการมีอยู่ของกฎหมาย เนื้อหาของกฎหมาย และการเข้าถึงข้อมูล เท่าที่ผ่านมา การบังคับใช้กฎหมายของกลุ่ม CLMV เป็นการบังคับใช้แบบต่างฝ่ายต่างบังคับใช้กฎหมายของตน มิได้บังคับใช้กฎหมายร่วมกันเป็นฉบับเดียว ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจากความร่วมมือนี้ กลุ่มประเทศ CLMV ควรปรับประสานกฎระเบียบให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนให้มีความหลากหลาย เพิ่มทางเลือกที่ดีแก่นักลงทุนชาติอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อสนองการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปในคราวเดียว ในการทำตลาดร่วมหรือฐานการผลิตที่ประเทศสมาชิกสามารถเคลื่อนย้ายสินค้าและแรงงานได้อย่างเสรี รวมถึงการร่วมกันใช้ประโยชน์ในทรัพยากรและช่วยกันพัฒนา เพื่อผลักดันให้ทุกประเทศในกลุ่มมีความทัดเทียมกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น