ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ของบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง กลุ่มดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 100 ตัวแรก
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการลงทุนด้วยวิธีราคาทุน 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ด้วยวิธีมูลค่ายุติธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง กลุ่มดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 100 ตัวแรก จำนวน
13 บริษัท ในปีพ.ศ. 2562 – 2566 ระยะเวลา 5 ปี รวม 20 ไตรมาส เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ตารางการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี (Binary logistic regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ณ ระดับ ที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ได้แก่ ขนาดของบริษัท ความเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทที่ถือโดยนักลงทุนสถาบัน ความสามารถในการทำกำไร บุคคลหรือครอบครัวถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท และอัตราการเติบโตของธุรกิจ โดยส่งผลต่อ การเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยวิธีราคาทุนในเชิงบวกร้อยละ 96.80 และส่งผลต่อการเลือกวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยวิธีมูลค่ายุติธรรม ในเชิงลบร้อยละ 62.50 โดยผู้บริหารจะเลือกใช้นโยบายทางการบัญชีที่เหมาะสมกับรูปแบบของธุรกิจ ซึ่งหากบริษัทที่มีแนวโน้มในการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์ในปัจจุบันมักจะเลือกใช้วิธีมูลค่ายุติธรรม เพื่อสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริงของราคาสินทรัพย์ ในปัจจุบันและหากบริษัทที่ต้องการลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของกำไรหรือขาดทุนจากการวัดมูลค่าของสินทรัพย์และความซับซ้อนในการประเมินมูลค่ามักจะเลือกใช้วิธีราคาทุน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้
ไม่ใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้จัดทำ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนบทความแต่ละท่าน
เอกสารอ้างอิง
รัชดาภรณ์ เสมาขันธ์, พัทธนันท์ เพชรเชิดชู, ศิริเดช คำสุพรหม, และปรีเปรม นนทลีรักษ์. (2563). ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นและกำไรสุทธิต่อหุ้นวิธีมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ; บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง. วารสารสุทธิปริทัศน์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 34(111), 94-109.
ศิลปพร ศรีจั่นเพชร. (2559). การบัญชีสำหรับมูลค่ายุติธรรม. สรรพากรสาส์น กรมสรรพากร, 59(11), 57-61.
Ross L. Watts & Jerold L. Zimmerman. (1990). Positive Accounting Theory: A Ten Year Perspective. The Accounting Review, 65(1), 131-156.
Lin Y.C. & Peasnell K.V., (2000). ASSET REVALUATION AND CURRENT COST ACCOUNTING: UK CORPORATE DISCLOSURE DECISIONS IN 1983. British Accounting Review, 32(2), 161-187.
Quagli A. & Avallone F., (2010). Fair Value or Cost Model? Drivers of Choice for IAS 40 in the Real Estate Industry. European Accounting Review, 19(3), 461-493.
Aria M. F. & Sylvia S. V. (2019). The use of the Fair Value Accounting Method for Investment Property in Indonesia. PERTANIKA JOURNAL, 27(1), 195-212.
อโนทัย ตรีวานิช. (2557). สถิติธุรกิจ. ขอนแก่น: ภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ชูชีพ กาญจน์เขจร. (2561). การถดถอยโลจีสติก (Logistic Regression). กรุงเทพฯ: คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
Wahyuni E. T., Soepriyanto, G. Avianti I., & Naulibasa W. P. (2019). Why companies choose the cost model over fair value for investment property? exploratory study on indonesian listed companies. International Journal of Business and Society, 1(20), 161-1776.
Farahmita A. & Siregar Veronica S. (2014). FAKTOR-FAKTOR YANG MEMPENGARUHI KEMUNGKINAN PERUSAHAAN MEMILIH METODE NILAI WAJAR UNTUK PROPERTI INVESTASI. Simposium Nasional Akuntansi, 1-21.
Mohd, H. K. Juyati, M. A. & Zarina, A. B. (2020). Investment Property, Cost Model, Fair Value Model and Value Relevance. International Journal of Financial Research, 3(11), 115-124.