ทัศนคติและแรงจูงใจที่ส่งผลต่อความต้องการพัฒนาตนเอง เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นของบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยทัศนคติ แรงจูงใจและความต้องการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น 2) ปัจจัยทัศนคติและแรงจูงใจที่ส่งผลต่อความต้องการการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นของบุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรสายสนับสนุนจำนวน 446 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป วิธีการทางสถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 55.93 อายุ 41-50 ปีคิดเป็นร้อยละ 42.80 ระดับการศึกษาปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 43.20 ประสบการณ์ในการทำงาน 10-19 ปี คิดเป็นร้อยละ 42.30 หน่วยงานที่สังกัดคือกองคิดเป็นร้อยละ 43.99 ตามลำดับ ปัจจัยด้านทัศนคติโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (m = 4.18, s = 0.37) ปัจจัยด้านแรงจูงใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (m = 4.20 , s = 0.38) ความต้องการพัฒนาตนเองโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (m= 4.18 , s = 0.54) ปัจจัยด้านทัศนคติทั้ง 3 ด้าน ส่งผลต่อความต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณการทำนายได้ร้อยละ 22.30 (R2 = 0.223) ส่วนปัจจัยด้านแรงจูงใจ 3 ด้านได้แก่ ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านความก้าวหน้าในงาน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลส่งผลต่อความต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สำหรับด้านความสำเร็จของงาน และด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานส่งผลต่อต่อความต้องการพัฒนาตนเองเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณการทำนายได้ร้อยละ 32.30 (R2 = 0.323)